ตลอดทั้งปีนี้ แทบไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะกระแสร้อนแรงเท่ากับ ‘ทองคำ’ แม้ว่าเมื่อวานนี้ (21 ตุลาคม) ทองคำจะถูกเทขายอย่างหนัก แต่ตลอดทั้งปีที่ผ่านมาราคาทองคำก็ยังบวกอยู่เกือบ 60%
แต่รู้หรือไม่ว่า อีกหนึ่งสินค้าโภคภัณฑ์ที่ร้อนแรงไม่แพ้ทองคำในปีนี้ คือ เงิน (Silver) ซึ่งราคาเคยพุ่งบวกไปกว่า 80% ก่อนที่จะถูกเทขายลงมาพร้อมกับทองคำ แต่ก็ยังบวกอยู่ได้เกือบ 70% นับจากต้นปีนี้
ทำไมราคาของเงินถึงพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง อะไรคือปัจจัยหนุนสำคัญ คำตอบจริงๆ แล้วอาจจะเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ตั้งแต่เมื่อ 30 – 60 ปีก่อน ในยุคที่แม้แต่นักลงทุนระดับตำนานอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็เคยเข้าไปลงทุนเช่นกัน
‘เงินและทองคำ’ สองสินค้าที่ร้อนแรงแห่งปี
ย้อนกลับไปช่วงต้นปีที่ผ่านมา ราคาต่อออนซ์ของเงินอยู่ที่ราว 29 ดอลลาร์ ก่อนจะวิ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบเกือบ 15 ปี ที่ 54 ดอลลาร์ คิดเป็นการปรับตัวขึ้นกว่า 80% ก่อนจะย่อตัวลงมาที่ 48 ดอลลาร์ ในวันนี้ (22 ตุลาคม)
ส่วนราคาทองคำก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน จากราคาประมาณ 2,600 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นมาเป็นเกือบ 4,400 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นมาเกือบ 70% ทำสถิติสูงสุดใหม่เช่นกัน
3 ปัจจัยหนุนราคาเงิน ที่กำลังเกิดซ้ำกับในอดีต
จริงๆ แล้วการลงทุนหรือเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในระดับโลก และแม้แต่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่มักจะลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ก็เคยลงทุนในเงินเช่นกัน
Katusa Research สถาบันวิจัยด้านการลงทุน บอกว่า ในอดีตบัฟเฟตต์เคยเข้าลงทุนในแร่เงินถึงสองครั้งใหญ่ๆ ครั้งแรกในปลายยุค 1960s ซึ่งสร้างผลตอบแทนมหาศาลกว่า 1,000% และอีกครั้งในอีก 30 ปีต่อมา ช่วงกลางทศวรรษ 1990s เมื่อเขาเห็นสัญญาณเดียวกัน โดยครั้งนั้น Berkshire Hathaway ได้เข้าซื้อแร่เงินมากถึง 129.7 ล้านออนซ์ หรือกว่า 25% ของผลผลิตทั่วโลกในขณะนั้น
Katusa Research ชี้ว่า ปัจจัย 3 ประการที่เคยทำให้บัฟเฟตต์ตัดสินใจเข้าซื้อเงินครั้งใหญ่ในอดีต กำลังหวนกลับมาปรากฏขึ้นพร้อมกันอีกครั้งในปัจจุบัน
1. อุปสงค์แซงหน้าอุปทาน (Supply Deficit) ในยุค 1990s บัฟเฟตต์ชี้ว่า “การผลิตและการนำแร่เงินกลับมาใช้ใหม่นั้น ต่ำกว่าการบริโภคอยู่ประมาณ 100 ล้านออนซ์” ซึ่งเป็นภาวะขาดดุลที่ต่อเนื่อง
ส่วนสถานการณ์ปัจจุบัน Katusa Research ระบุว่า ภาวะขาดดุลในปัจจุบันรุนแรงยิ่งกว่า โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2021-2023) ถือเป็น 3 ปีที่ตลาดแร่เงินขาดดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ การขาดดุลสะสมเพียง 2 ปี (ปี 2021-2022) สามารถลบล้างอุปทานส่วนเกินที่สะสมมาตลอด 11 ปีก่อนหน้าทั้งหมด และ Sprott Asset Management ยังคาดการณ์ว่าภาวะขาดดุลจะดำเนินต่อไป โดยอาจสูงถึงเฉลี่ย 200 ล้านออนซ์ต่อปี ไปจนถึงปี 2030
2. คลังสำรองโลหะมีค่าที่ร่อยหรอ (Dwindling Inventories) ในอดีตบัฟเฟตต์เล็งเห็นว่า แม้จะมีแร่เงินที่ถูกเก็บไว้เหนือพื้นดิน (Above Ground) จำนวนมหาศาล แต่ “คลังสำรองเหล่านั้นกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ”
ซึ่งปัจจุบันคลังเก็บโลหะมีค่าที่สำคัญของมีปริมาณลดลงอย่างมาก (Hemorrhaging) โดยในช่วงปี 2021-2023 คลังของ COMEX มีแร่เงินไหลออกถึง 120 ล้านออนซ์ (ลดลง 1 ใน 3) ขณะที่คลังของ LBMA (ตลาดลอนดอน) ลดลงไปกว่า 400 ล้านออนซ์ นับตั้งแต่จุดสูงสุดในปี 2021 โดยเฉพาะในเดือนมกราคม 2025 เพียงเดือนเดียว ลดลงถึง 71 ล้านออนซ์ หรือเกือบ 10%
3. อุปทานที่ผลิตเพิ่มได้ยาก (Inelastic Supply) บัฟเฟตต์เข้าใจดีว่าการเพิ่มกำลังการผลิตแร่เงินไม่ใช่เรื่องง่าย โดยระบุว่า “มีเหมืองแร่เงินบริสุทธิ์ (Pure Silver Mines) ค่อนข้างน้อย”
ในปัจจุบันอุปทานแร่เงินยังคงหยุดนิ่ง (Stagnant) โดยผลผลิตในปี 2024 น้อยกว่า ผลผลิตในปี 2014 สาเหตุหลักคือการผลิตแร่เงินน้อยกว่า 1 ใน 5 เท่านั้นที่มาจากเหมืองเงินโดยตรง ส่วนที่เหลือเป็นการผลิตในฐานะผลพลอยได้ (Byproduct) จากการทำเหมืองแร่ชนิดอื่น เช่น ทองแดง ตะกั่ว หรือสังกะสี
ปัจจัยที่ 4 ‘พลังงานแสงอาทิตย์’
นอกจาก 3 สัญญาณคลาสสิกที่กลับมาครบแล้ว Katusa Research ยังชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเร่งตัวที่ 4 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในยุคของบัฟเฟตต์ นั่นคือ ความต้องการแร่เงินจากอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แร่เงินเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ และความต้องการในส่วนนี้ได้ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในช่วงปี 2022 – 2024 ทำให้สัดส่วนการใช้แร่เงินในอุตสาหกรรมโซลาร์พุ่งจาก 12% ของตลาด ขึ้นมาอยู่ที่ 25% ของตลาดทั้งหมด และ Sprott ประเมินว่าภายในปี 2030 อุตสาหกรรมโซลาร์เพียงอย่างเดียวจะต้องใช้แร่เงินมากถึง 370 ล้านออนซ์ต่อปี
ทอม แคปเลน (Tom Kaplan) มหาเศรษฐีนักลงทุนผู้ซึ่งเคยทำกำไรมหาศาลจากการลงทุนในแร่เงินในยุคเดียวกับบัฟเฟตต์ ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า “บัฟเฟตต์เข้าซื้อที่ราคา 4.50 ดอลลาร์ และในที่สุดราคามันก็วิ่งกลับไปที่ 50 ดอลลาร์ คุณกำลังจะได้เห็นอะไรที่ไม่แตกต่างกันเกิดขึ้นอีกครั้งในตลาดแร่เงิน”
ภาพ: Bet_Noire / Getty Images
อ้างอิง: