การท่องเที่ยวยังคงเป็นหนึ่งในกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาลชุดใหม่ที่เร่งผลักดันในเวลานี้ ซึ่งล่าสุด เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก ว่า ที่ประชุมเห็นชอบ 8 เรื่อง และหนึ่งในนั้นคือ การให้วีซ่าฟรีแก่ประเทศจีนและประเทศคาซัคสถานชั่วคราว ระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567
ขณะที่บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น สยามพารากอน, สยามเซ็นเตอร์ หรือสยามดิสคัฟเวอรี่ และเป็นหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของโครงการไอคอนสยนามและสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ได้ขานรับกับนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล พร้อมประกาศทุ่มเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อจัด 40 กิจกรรม ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ เชื่อมั่นว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยในปีนี้น่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ 30 ล้านคน โดยช่วง 8 เดือนแรกที่ผ่านมาจะเห็นว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทยเป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง สะท้อนจากการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของลูกค้าของบริษัท ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 5,500 บาทต่อคนต่อวัน เป็น 8,500 บาทต่อคนต่อวัน
หากจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยทะลุ 30 ล้านคนได้จริง คาดว่ากลุ่มบริษัทจะมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น 22 ล้านคน หลังจากที่ 8 เดือนแรกมีนักท่องเที่ยวเป็นลูกค้าของกลุ่มบริษัทแล้ว 14 ล้านคน
“ประเทศไทยยังอยู่ในสถานะที่ดีมาก แต่เราต้องมีเรื่องราวใหม่ๆ ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งสยามพิวรรธน์เองก็พยายามจะสร้างเรื่องราวเหล่านี้ เช่น การจัดงานอีเวนต์ระดับโลก, การผลักดันไทยเป็นฮับด้านศิลปะของเอเชีย รวมทั้งการปั้นซอฟต์พาวเวอร์ของไทย”
เพื่อผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยทะลุ 30 ล้านคน ชฎาทิพกล่าวว่า ในไตรมาสสุดท้ายบริษัทจะใช้งบลงทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อจัด 40 กิจกรรม โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ งานเคานต์ดาวน์ปีใหม่ที่ไอคอนสยาม ซึ่งเมื่อปีก่อนเราทำได้ค่อนข้างดี จนได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 ประเทศทั่วโลกที่นักท่องเที่ยวควรมาร่วมงานเคานต์ดาวน์ นอกจากนี้ยังมีอีก 2 งานใหญ่ คือ งานครบรอบ 5 ปี ไอคอนสยาม และงาน Bangkok Illumination 2023
ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดกลยุทธ์สำคัญ 4 ด้าน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มสยามพิวรรธน์ให้สอดรับไปกับนโยบายของรัฐบาล
-
ผู้นำการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย
โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดร้าน Luxury Brands ใหม่เพิ่มถึง 20 ร้านค้าในไตรมาส 4 ซึ่งหลายแบรนด์เป็นสาขาแห่งแรกในไทย อีกทั้งมีแผนจัดป๊อปอัพสโตร์และงานอีเวนต์ระดับโลกร่วมกับแบรนด์ต่างๆ มากกว่า 40 แบรนด์ไปจนถึงสิ้นปี 2567 และในปีหน้า Luxury Brands ต่างๆ เตรียมขยายพื้นที่ร้านกว่าเท่าตัว เพื่อให้เป็น Iconic Store ที่ใหญ่ที่สุดในสยามพารากอนและไอคอนสยามอีกด้วย
-
ผู้นำการจัดอีเวนต์ระดับโลกและการประชุมนานาชาติ
โดยทำงานร่วมกับองค์กรภาครัฐ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) และภาคเอกชนต่างๆ เพื่อดึงดูดนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก โดยใช้พื้นที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และทรู ไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม ซึ่งปีนี้ได้รองรับงานสำคัญรวมกันกว่า 40 งาน และมีการจองใช้ในปี 2567 แล้วมากถึง 70% นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้จัดงานอีเวนต์รายใหญ่ของโลก เพื่อร่วมลงทุนสร้างศูนย์ประชุมและการแสดงแห่งใหม่
-
ผู้นำในการส่งเสริมศิลปะไทย ยกระดับกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางศิลปะระดับโลก
บริษัทมีแผนที่จะเสนอรัฐบาลเพื่อปั้นให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางด้านศิลปะของอาเซียน พร้อมจัดงานศิลปะระดับโลกให้เกิดขึ้น เพื่อดึงดูดบุคคลในวงการศิลปะเข้ามาในประเทศไทย เช่น งาน Art Basel และ Frieze เป็นต้น โดยจะช่วยให้บรรดาศิลปินไทยมีโอกาสแสดงผลงานร่วมกับศิลปินระดับโลก
ยิ่งไปกว่านั้นสยามพิวรรธน์มีแผนจะลงทุน 400 ล้านบาท เพื่อเปิดศูนย์ศิลปะริเวอร์มิวเซียม ชั้น 8 ไอคอนสยาม ในปี 2569 บนพื้นที่ 8,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นพิพิธภัณฑ์มาตรฐานโลกแห่งแรกของไทยที่สามารถรองรับงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซของโลก
-
ผู้นำในการปั้นซอฟต์พาวเวอร์ของไทย ด้วยความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสู่เวทีโลก
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี สยามพิวรรธน์ได้พัฒนาแพลตฟอร์มแห่งโอกาสที่นำสุดยอดฝีมือในด้านต่างๆ ของไทย เพื่อนำเสนอซอฟต์พาวเวอร์ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร, ภาพยนตร์, แฟชั่น, ดีไซเนอร์ และอื่นๆ รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs และพ่อค้า-แม่ค้าจาก 77 จังหวัดจำนวนกว่า 6,000 ราย มาร่วมกันนำเสนออัตลักษณ์ไทยรูปแบบต่างๆ ผ่านเมืองสุขสยาม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมไม่ต่ำกว่าวันละ 70,000 คน
นอกจากนี้การสร้างแบรนด์สินค้าของคนไทยผ่านธุรกิจรีเทลของสยามพิวรรธน์ อันได้แก่ ICONCRAFT, ODS และ ECOTOPIA ช่วยให้ SMEs หรือพ่อค้า-แม่ค้าสามารถขายแฟรนไชส์ไปต่างประเทศได้
“สยามพิวรรธน์จะเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง โดยเตรียมอัดงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในไตรมาส 4 นี้ และเตรียมจัดงบประมาณเพิ่มอีกเท่าตัวในปีหน้า เพื่อเดินเครื่องหนุนการท่องเที่ยวของไทยตามนโยบายของรัฐบาล โดยมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม สร้างปรากฏการณ์ ปักหมุดให้ประเทศเป็นจุดหมายปลายทางแรกที่ต้องมาเยือนสำหรับนักท่องเที่ยวและนักเดินทางจากทั่วโลก” ชฎาทิพกล่าวทิ้งท้าย
