ในไตรมาสแรกนี้ สยามพารากอน ธุรกิจภายใต้กลุ่มสยามพิวรรธน์ ประกาศการทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการขยับของกลุ่มธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่คาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้น และกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คาดการณ์ว่าจะเข้ามาในปี 2566 ถึง 20.0-24.0 ล้านคน
สำหรับปี 2566 สยามพารากอนในฐานะแลนด์มาร์กกรุงเทพมหานคร ยังคงเดินทัพต่อด้วยการประกาศทุ่มทุนงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงพื้นที่ส่วนศูนย์การค้าทั้งหมด โดยได้เริ่มต้นดำเนินการแล้วเป็นส่วนๆ ตั้งแต่ปลายปี 2565 เป็นต้นมา จะใช้เวลาภายใน 18 เดือนจากนี้ไป และมีกำหนดเสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 2567 ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2564 สยามพารากอนได้เริ่มดำเนินการปรับโฉม ‘พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์’ ไปแล้วหลายชั้น ซึ่งจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2566
โครงการทรานส์ฟอร์มแลนด์มาร์กระดับโลก ที่จะกำหนดนิยามใหม่ที่สุดแห่งความล้ำเลิศที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคตในทุกมิติ ซึ่งประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบสำคัญ
- จักรวาลใหม่แห่งการใช้ชีวิตสุดล้ำ (Universe of World’s Excellence) พัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ยิ่งใหญ่ด้วยคอนเซปต์ ‘การร่วมกันรังสรรค์’ หรือ Co-creation & Collaboration กับพันธมิตรผู้มีวิสัยทัศน์เป็นเลิศในทุกอุตสาหกรรม
- ประตูสู่ดินแดนใหม่ที่โลกดิจิทัลบรรจบกับโลกจริง (Gateway to Next Frontier Where Digital World Meets Physical World) สยามพารากอนจะเป็น Co-Creative แพลตฟอร์มต้นแบบใหม่ครั้งแรกของโลก (New Global Prototype)
- มิติใหม่แห่งความลักชัวรี (Celebration of Inclusive Luxury) การพลิกโฉมประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ สยามพารากอนจะรังสรรค์นิยามใหม่ของความลักชัวรีในทุกมิติของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต (Luxury for All) สำหรับคนทุกเพศทุกวัย ทุกอายุ ทุกระดับ
- ผู้นำแห่งการสร้างสรรค์ประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณภาพ (Pioneering Quality Life Experience) ร่วมกับพันธมิตรออกแบบพื้นที่ขนาดใหญ่ที่จะผสานเอาศิลปะ เทคโนโลยี และธรรมชาติ เข้ามาอยู่ในโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทาง เพื่อทำให้โลกใบนี้สะอาด จัดระบบในเรื่องการใช้พลังงานโดยการใช้นวัตกรรมต้นแบบในเรื่องต่างๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตสู่ความยั่งยืน
- คอมมูนิตี้ที่สมบูรณ์แบบของพลเมืองโลก (The Paragon Community of Global Citizens) ยกระดับประสบการณ์เหนือความคาดหมายทั้งในศูนย์การค้าและในโลกดิจิทัล จะเพิ่มศักยภาพให้สยามพารากอนขยายฐานลูกค้าสู่ Global Citizen โดยการสร้างพื้นที่ใหม่ๆ เป็น Cluster ที่มีสินค้า บริการ และกิจกรรมที่ตรงใจของคอมมูนิตี้ต่างๆ
ความสำเร็จของสยามพารากอนเมื่อปี 2565 คือสามารถสร้างปรากฏการณ์รายได้เติบโตกว่า 50% จากปี 2564 และสูงกว่าปี 2562 แม้ว่าจำนวนลูกค้าที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มากเท่าเดิม แต่สยามพารากอนก็ยังสามารถสร้างการเติบโตแบบทะลุเป้าได้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าหรู ลักชัวรีแบรนด์ยังคงมียอดขายเติบโตติดอันดับโลก ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำที่ครองฐานลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมากที่สุดในประเทศไทยได้เป็นปีที่ 3
ด้าน แคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการขายและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า “สยามพารากอนประสบความสำเร็จอย่างสูงมากในปี 2565 สามารถสร้างรายได้ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ เติบโตมากกว่า 50% จากปี 2564 และสูงกว่าปี 2562 แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ได้มีจำนวนมากเทียบเท่าก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิค-19 โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มลักชัวรีแบรนด์ที่สามารถสร้างยอดขายและมีอัตราเติบโตที่สูงตลอดระยะเวลา 3 ปี สะท้อนจากบรรดาแบรนด์หรูมุ่งหน้าตลาดเมืองไทย เป็นเวทีสำคัญในการเปิดตัวคอนเซปต์สโตร์หรือคอลเล็กชันใหม่เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความต้องการขยายพื้นที่และขยายสาขามากขึ้น สอดรับกับแผนการลงทุนปรับโฉมใหม่ของสยามพารากอน เพื่อต้อนรับลักชัวรีแบรนด์และแบรนด์ใหม่ๆ อีกนับร้อยแบรนด์ที่อยู่ในรายชื่อ Waiting List โดยหลายแบรนด์จะเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย และมีแบรนด์ที่ Exclusive เฉพาะที่สยามพารากอนเท่านั้น เหล่านี้ล้วนตอกย้ำความเป็นเพชรน้ำงามของ Luxury Destination ระดับโลกอย่างแท้จริง”
แคโรไลน์กล่าวเสริมว่า “เราจะรังสรรค์แพลตฟอร์มต้นแบบใหม่ครั้งแรกของโลก (Global Prototype) ที่จะเป็นเวทีให้ผู้ที่เป็นสุดยอดฝีมือในทุกๆ ด้านมาร่วมกัน Co-create เพื่อสร้างผลงานและประสบการณ์ระดับโลกเหนือความคาดหมาย ซึ่งโครงการใหม่ที่เรากำลังเดินหน้าอยู่นี้จะเป็นโครงการที่เรียกว่า ‘The Next Level Evolution’ ที่จะสร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ของวงการค้าปลีกอีกครั้ง เนื่องจากเรากำลังทรานส์ฟอร์ม ‘สยามพารากอน’ ทั้งอาคารบนพื้นที่ 5 แสนตารางเมตร ใจกลางมหานครย่านสยาม นับได้ว่าเป็นการพลิกเกมเปลี่ยนโลกหรือ Game Changing อย่างแท้จริง ที่จะส่งผลให้ประเทศไทยผงาดบนเวทีโลก และครองความเป็นที่หนึ่งในใจของคนทั้งโลกอย่างต่อเนื่อง”
เมื่อกล่าวถึงวิสัยทัศน์สำคัญสู่การทรานส์ฟอร์ม ‘สยามพารากอน’ ในครั้งนี้ที่นับเป็นการเชื่อมโลกในทุกมิติ มยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายองค์กรสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ได้ให้ความเห็นในครั้งนี้ว่า “นโยบายในการทำธุรกิจของเราคือ Collaborate to Win เราเชื่อมั่นในศักยภาพไร้ขีดจำกัดของ Ecosystem ที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม ที่จะมาร่วมผนึกกำลังเราสร้างธุรกิจให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ ฉีกกฎและตำราเดิมๆ ของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สยามพารากอนจะไม่ได้เป็นเพียงศูนย์การค้าอีกต่อไป แต่จะเป็นแพลตฟอร์มเวทีระดับโลกที่ให้ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายแขนง ทั้งสถาปนิก วิศวกร มัณฑนากร ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ เทคโนโลยี รวมทั้งผนึกกำลังกับผู้ประกอบการลักชัวรีแบรนด์ทั่วโลก และผู้ประกอบการคนไทย มาร่วมกันรังสรรค์ (Co-creation) เชื่อมต่อแพลตฟอร์มทั้งบนพื้นที่โลกกายภาพ (Physical World) โลกดิจิทัล (Digital World) ผ่าน ONESIAM SuperApp และโลกเสมือนจริง (Metaverse) เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ เพื่อเติมเต็มยกระดับชีวิตของผู้คนและผู้ที่มาเยือนให้ได้รับประสบการณ์ระดับโลกที่เหนือความคาดหมายในทุกมิติอย่างสมบูรณ์แบบ”
มยุรีกล่าวต่อว่า “สยามพารากอนตอกย้ำแนวคิด การร่วมกันรังสรรค์ (Co-creation) บนแพลตฟอร์มนี้ เพื่อนำมาซึ่งการพัฒนาและการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน เพราะทุกคนจะร่วมสร้างนิยามใหม่อีกระดับของที่สุดแห่งความล้ำเลิศร่วมกับผู้ประกอบการหลายราย ซึ่งได้เคยสร้าง Flagship Store ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้ว ใน Next Level ก็จะรังสรรค์ Iconic Store ที่ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งเดียวในประเทศไทย การทรานส์ฟอร์มสยามพารากอนในครั้งนี้ เราจะสร้างปรากฏการณ์แรกของการเปิดให้ลูกค้าทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสยามพารากอนอีกด้วย ดังนั้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ สยามพารากอนจะเปิดพื้นที่สาธารณะ เพื่อรับฟังไอเดียของลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติทั่วโลก ผ่านโครงการ Wall of Wonders ในรูปแบบ Interactive Wall ที่ลูกค้าสามารถแนะนำว่า ปรารถนาจะได้เห็นความแปลกใหม่ในรูปแบบใดในสยามพารากอน โดยจะได้นำความคิดเห็นจากผู้คนทั่วโลกมารังสรรค์พื้นที่ต่างๆ ให้มีความหลากหลาย ตรงกับความสนใจของผู้คนในแต่ละคอมมูนิตี้ ผสานกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนในมิติต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จะแจ้งให้ทราบถึงรายละเอียดโครงการ Wall of Wonders ในเร็วๆ นี้” มยุรีกล่าว