ไชอา ลาบัฟ นักแสดงหนุ่มวัย 33 ปี ผู้เขียนบทภาพยนตร์ Honey Boy เพิ่งได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Hollywood Breakthrough Screenwriter Award จากงานประกาศรางวัล Hollywood Film Awards ครั้งที่ 23 ที่ลอสแอนเจลิส เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (3 พฤศจิกายน) โดยเขาได้ขึ้นกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมเขาในเดือนกรกฎาคม ปี 2017 เนื่องจากอาการมึนเมาในที่สาธารณะ ทั้งยังหยาบคาย ก้าวร้าว ปฏิเสธและพยายามหลบหนีการจับกุม จากเหตุการณ์นี้เขาต้องจ่ายค่าปรับ 2,680 ดอลลาร์สหรัฐ และส่งผลต่อเนื่องให้เขาเข้ารักษาในสถานบำบัด และที่นี่เองที่ลาบัฟได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD)
“ผมอยากจะขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมผมในรัฐจอร์เจียวันนั้น มันเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย”
ระหว่างที่บำบัด ลาบัฟได้เขียนบทภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของเขาในชื่อ Honey Boy ซึ่งเป็นเรื่องราวของ โอทิส นักแสดงหนุ่มดาวรุ่งที่กำลังไปได้ดีในวงการ แต่กลับทำตัวไร้การควบคุมและคอยแต่จะสร้างปัญหาตลอดเวลา จิตแพทย์วินิจฉัยว่าพฤติกรรมของเขาเป็นผลพวงมาจากชีวิตวัยเด็กที่บกพร่อง และส่วนหนึ่งของความบกพร่องที่ว่านั้นมาจากพ่อที่คอยบังคับขู่เข็ญตลอดมา โอทิสพยายามปฏิเสธว่าคำกล่าวของหมอไม่ใช่ความจริง พร้อมกับค่อยๆ ย้อนกลับไปทบทวนชีวิตที่ผ่านมาของตนเอง และทำความเข้าใจผู้เป็นพ่อใหม่อีกครั้ง
แน่นอนว่าสำหรับลาบัฟแล้ว บทภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะเป็นคำสารภาพและคำขอโทษแล้ว มันยังเป็นรูปแบบหนึ่งของการบำบัดที่หยั่งรากลึกลงไปในอาการป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรงที่เขาได้เผชิญในวัยเด็ก
ไชอา ลาบัฟ กับโนอาห์ จูป นักแสดงที่รับบทเป็นโอทิสในวัยเด็ก
ในชีวิตจริงลาบัฟไม่ได้มีชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของ เจฟฟรีย์ ทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม และ เชย์นา นักออกแบบเสื้อผ้าและจิวเวลรี ครอบครัวของเขาค่อนข้างยากจน อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ตรงข้าม Echo Park ลอสแอนเจลิส ลาบัฟเคยอธิบายพ่อแม่ของเขาว่าเป็นฮิปปี้ “เขาค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่น แต่พวกเขาก็รักผม และผมก็รักพวกเขา” ครั้งหนึ่งพ่อของลาบัฟเคยถือปืนเล็งมาที่เขา เนื่องจากเกิดอาการหลอนจากสงครามเวียดนาม นอกจากนี้เขายังเคยถูกทารุณทางจิตใจและคำพูด พร้อมๆ กับการเห็นพ่อติดเฮโรอีนและแอลกอฮอล์
แต่ถึงอย่างนั้น ปัญหาชีวิตที่รุมเร้ากลับเป็นประตูที่เปิดไปสู่โลกอีกใบ เมื่อลาบัฟอายุได้ 10 ปี เขาไปเล่นเซิร์ฟกับพ่อที่มาลิบู ตอนนั้นเขาได้เจอกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันสวมเสื้อผ้าและอุปกรณ์เล่นเซิร์ฟราคาแพงอย่างที่เขาไม่กล้าฝันถึง “ผมถามเขาว่าทำงานอะไร แล้วเขาก็ตอบว่าเป็นนักแสดง” เด็กคนนั้นยังแนะนำให้ลาบัฟลองติดต่อโมเดลลิ่งดู และเมื่อเขาลองติดต่อด้วยการเปิดหารายชื่อบริษัทโมเดลลิ่งจากสมุดหน้าเหลือง โชคก็เป็นของเขา เมื่อได้เซ็นสัญญาและได้งานแสดงอย่างรวดเร็วกับซีรีส์อย่าง Caroline in the City (1998), Suddenly Susan (1999), The X-Files (1999), ER (2000), Freaks and Geeks (2000) และรับบท หลุยส์ สตีเวนส์ ในซีรีส์ Even Stevens (2000-2003) ทางช่องดิสนีย์จนทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จัก ก่อนจะเริ่มรับงานแสดงภาพยนตร์ จนกระทั่งปี 2007 ที่ชื่อของเขาเริ่มโด่งดังไปพร้อมๆ กับ Disturbia, Surf’s Up และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Transformers ภาพยนตร์ที่เปลี่ยนชีวิตเขาให้กลายเป็นดาวรุ่งของฮอลลีวูดในทันที
Even Stevens (2000-2003) และ Transformers (2007)
วีรกรรมติสท์แตกหลุดโลกของลาบัฟเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาอยู่ในแดนลบ จนกระทั่งเขาเข้ารับการบำบัดในปี 2017 หลังจากนั้นได้ให้สัมภาษณ์กับ Esquire US ไว้ว่ามันคล้ายกระบวนการเปิดปากแผล ปล่อยให้เลือดไหลออกมาจนกว่าจะหยุด “คุณต้องพูดเกี่ยวกับมันไปเรื่อยๆ ขุดคุ้ยมันขึ้นมา นึกถึงมัน นึกถึงกลิ่นหรือทางไหนก็ได้ที่คุณจะกลับไปสู่จุดนั้น และส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อ เขาเป็นเหมือนน้ำมันให้กับชีวิตผม”
จะบอกว่าพ่อเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของชีวิตเขาก็คงไม่ผิด แม้จะมีความหลังวัยเด็กที่หนักหนา แต่หลังรับงานแสดงเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว พ่อของเขาก็คอยอยู่ในกองถ่ายกับเขาตลอดเวลา คอยยืนอยู่ใกล้ๆ กล้องเพื่อที่ลาบัฟจะได้มีสมาธิไปกับการทำงาน ถึงปัจจุบันเขายังยืนยันว่าการที่เขามาเป็นนักแสดง เหตุผลทั้งหมดก็คือพ่อคนเดียวกันนี้
การรับบทเป็นพ่อของตัวเองในภาพยนตร์ Honey Boy สำหรับลาบัฟไม่ต่างจากการบำบัดด้วยการสวมบทบาทเป็นอีกฝ่ายที่เรามีปมปัญหาด้วย มันทำให้เขาเข้าใจตรรกะ วิธีคิด และสิ่งที่พ่อของเขาต้องเผชิญในช่วงเวลานั้น ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ช่วยคลี่คลายให้เข้าใจได้ว่าสิ่งที่พ่อกระทำกับเขาแบบนั้นเป็นเพราะอะไร
ลาบัฟยังได้ให้สัมภาษณ์กับ MTV News ว่าการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยชีวิตรวมถึงอาชีพการงานของเขาเอาไว้ “ผมกำลังหลงทางอย่างที่สุด ทั้งชีวิตผมเองและงานแสดง เหมือนเป็นจุดที่ต่ำที่สุดของผมแล้ว… ผมได้พบทางรอดชีวิตและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 5 ปีหลังมานี้ไม่ได้มาจากการทำงานกับสตูดิโอ แต่เป็นกลุ่มคนดีๆ ที่อยู่รอบตัวผม และผมก็ได้ใกล้ชิดกับครอบครัวอย่างที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน”
ไชอา ลาบัฟ รับบทเป็นพ่อตัวเองในภาพยนตร์ Honey Boy
ผู้กำกับ อัลมา ฮาเรล ให้สัมภาษณ์กับ The Hollywood Reporter ว่าลาบัฟเขียนบทเสร็จระหว่างที่เขากำลังบำบัดและส่งอีเมลมาให้ ทันทีที่ได้อ่านเธอก็รู้เลยว่ามันจะกลายเป็นภาพยนตร์ และเริ่มคิดจะให้เขาแสดงเป็นพ่อของตัวเอง “ฉันว่ามันไม่ใช่แค่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง การให้เขารับบทเป็นพ่อเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความกล้าหาญมาก เสียสละ ทั้งยังเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับสภาพจิตใจของเขาด้วยเช่นกัน ตัวฉันเองที่เคยมีพ่อที่ติดแอลกอฮอล์ และรู้ว่ามีคนมากมายตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน เราจึงร่วมมือกันสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวนี้”
Honey Boy ตั้งชื่อตามที่พ่อเรียกลาบัฟในช่วงวัยเด็ก และระหว่างถ่ายทำ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อเล่นว่า Jeffrey ตามชื่อพ่อของเขา
ตัวอย่างภาพยนตร์
ภาพ: David Livingston / Stringer, Getty Images
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- www.esquire.com/entertainment/movies/a19181320/shia-labeouf-interview-2018/
- www.refinery29.com/en-us/2019/10/8649830/shia-labeouf-childhood-stardom-ptsd
- www.indiewire.com/2019/11/honey-boy-cinematographer-natasha-braier-shia-labeouf-therapy-acting-process-1202186644/?fbclid=IwAR1N-0xXzLVJXP__dNkp0TopEo3Yuqfq8ytWLZrhW2E6KD5IWtBebv8WbFE
- www.youtube.com/watch?v=SLI4dUu9fyk
- people.com/movies/shia-labeouf-parents-tough-time-watching-honey-boy/