×

โทรฟี่ ‘ยูฟ่าเซบียาลีก’ กับความพ่ายแพ้ในนัดชิงหนแรกของ The Special One

01.06.2023
  • LOADING...
ยูฟ่าเซบียาลีก

HIGHLIGHTS

4 MINS READ
  • หากเรอัล มาดริด คือราชันของถ้วยยุโรปใบใหญ่แล้ว เซบียาเองก็เป็นเจ้าชายของถ้วยยุโรปใบเล็กเช่นเดียวกัน โดยนับตั้งแต่การคว้าแชมป์ครั้งแรกในปี 2006 แล้ว พวกเขาก็คว้าแชมป์มาครองมากถึง 7 สมัย (2006, 2007, 2014, 2015, 2016, 2020 และ 2023) เลยทีเดียว
  • BBC Sport ตั้งคำถามว่า นัดชิงยูโรปาลีกเมื่อคืนที่ผ่านมา เป็นนัดชิงที่ ‘สกปรกที่สุด’ หรือไม่? เมื่อผู้ตัดสินชาวอังกฤษ แอนโธนี เทย์เลอร์ ต้องแจกใบเหลืองให้กับนักฟุตบอลถึง 13 คน โดยเป็นฝั่งของโรมา 7 คน และเซบียาอีก 6 คนด้วยกัน
  • ในมุมของมูรินโญและโรมาก็อาจจะเข้าใจถึงเหตุผลในความเดือดดาล เพราะมีการตัดสินแบบน่ากังขาของเทย์เลอร์ รวมถึง ไมเคิล โอลิเวอร์ ที่รับหน้าที่ผู้ตัดสิน VAR ในเกมนี้

ถ้าเราเก็บดราก้อนบอลได้ครบ 7 ลูก เราจะขอพรจากเทพเจ้ามังกรได้ แต่ถ้าเราได้แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก 7 สมัย แล้วเราจะได้อะไร?

 

เรื่องนี้เป็นการพูดหยอกกันขำขันอย่างมีความสุขสำหรับแฟนบอลเซบียา หลังจากที่ทีมรักของพวกเขาสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการพิชิตแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีกได้เป็นสมัยที่ 7 ด้วยการดวลจุดโทษเอาชนะโรมา ในเกมที่แข่งขันกันยาวนานรวม 146 นาที และมีการต่อเวลาถึง 21 นาที ก่อนที่จะต้องตัดสินกันด้วยฎีกา

 

เกมที่มีการพูดถึงการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินชาวอังกฤษ แอนโธนี เทย์เลอร์ ที่มีส่วนกับหลายจังหวะสำคัญ จนทำให้ โชเซ มูรินโญ ถึงกับต้องไปดักรอพบที่รถหลังจากจบการแข่งขัน

           

และความพ่ายแพ้ครั้งแรกในเกมนัดชิงยุโรปของ ‘The Special One’ ผู้โยนเหรียญรองแชมป์ให้กับแฟนบอล ก่อนทิ้งข้อความปริศนาเอาไว้ถึงอนาคตของเขากับทีมในนคร Eternal City

 

ยอดกุนซือชาวโปรตุเกสมีสถิติที่ยอดเยี่ยมยามที่ต้องนำทีมลงชิงชัยในศึกสโมสรยุโรป ผลงานก่อนหน้านี้ของเขาคือการเข้าชิง 5 ครั้ง ชนะ 5 ครั้งรวด (2 แชมเปียนส์ลีก, 2 ยูโรปาลีก และ 1 ยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก) ซึ่งเป็นสถิติที่เทียบเท่ากับ โจวานนี ตราปัตโตนี กุนซือระดับตำนานชาวอิตาลีที่มีสถิติเข้าชิง 5 ได้แชมป์ 5 เหมือนกัน

           

มูรินโญย่อมคาดหวังถึงการรักษาสถิติเอาไว้ต่อไป เพื่อจะแซงหน้าตราปัตโตนีให้ได้

           

แต่ในนัดชิงชนะเลิศที่สนามปุสกัสอารีนาที่กรุงบูดาเปสต์ มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคาดหวังเลย ทั้งๆ ที่โรมาเป็นฝ่ายได้ประตูออกนำไปก่อนในครึ่งแรกจาก เปาโล ดีบาลา กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ผู้เป็นที่รักของทั้งมูรินโญและของเหล่ากองเชียร์ ‘จัลโลรอสซี’

           

การทำเข้าประตูตัวเองของ จานลูกา มันชินี ในช่วงต้นครึ่ง หลังทำให้เซบียากลับมาสู่เกมได้อีกครั้ง ก่อนที่จะต่อสู้กันลากยาวไปในเกมที่เต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบที่ในความเห็นของใครหลายคนมองว่าไม่ได้เป็นเกมที่สนุกหรือมีคุณภาพอย่างที่คาดหวังมากนัก

 

 

สุดท้ายเซบียา ซึ่งความจริงประสบกับฤดูกาลที่เลวร้ายก่อนได้นายใหญ่คนที่ 3 ของฤดูกาล โฆเซ หลุยส์ เมนดิลิบาร์ เข้ามารับงานในการพาทีมต่อสู้หนีการตกชั้นในศึกลาลีกา และสามารถทำภารกิจได้สำเร็จเกินความคาดหมาย เพราะนอกจากจะรอดพ้นจากการตกชั้นแล้ว ยังสามารถพาทีมพิชิตแชมป์ยูโรปาลีกได้อีกสมัย

           

หากเรอัล มาดริด คือราชันของถ้วยยุโรปใบใหญ่แล้ว เซบียาเองก็เป็นเจ้าชายของถ้วยยุโรปใบเล็กเช่นเดียวกัน โดยนับตั้งแต่การคว้าแชมป์ครั้งแรกในปี 2006 แล้วพวกเขาก็คว้าแชมป์มาครองมากถึง 7 สมัย (2006, 2007, 2014, 2015, 2016, 2020 และ 2023) เลยทีเดียว

           

แน่นอนว่าพวกเขาเป็นทีมที่ครองถ้วยใบนี้มากที่สุดทิ้งห่างอันดับ 2 คืออินเตอร์ มิลาน ที่ได้แค่ 3 สมัย ไปไกลลิบ ซึ่งก็สมกับป้ายผ้าขนาดยักษ์ของแฟนเซบียาที่ทำก่อนเกมบอกว่า ‘นี่คือรายการของพวกเรา’

           

ภาพที่น่าประทับใจคือ ภาพของ เฆซุส นาบาส นักเตะจอมเก๋าที่อยู่ในทีมที่คว้าแชมป์สมัยแรกในปี 2006 ได้ชูถ้วยแชมป์ในอีก 17 ปีต่อมาในวัย 37 ปี ซึ่งขึ้นไปรับโทรฟี่ที่มีการแซวว่า น่าจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘ยูฟ่าเซบียาลีก’ กับ อิวาน ราคิติช กองกลางชาวเซิร์บวัย 35 ปีที่ยังคงโลดแล่นเป็นหัวใจในแดนกลางของทีม

           

การคว้าแชมป์ครั้งนี้ยังทำให้เซบียา ซึ่งจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 11 ในลาลีกา จะได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลหน้าอีกด้วย ขณะที่โรมาจะต้องเล่นในยูโรปาลีกต่อไปในฤดูกาลหน้า

           

แต่นอกจากภาพของความประทับใจแล้ว ภาพที่ไม่น่าประทับใจก็มีเช่นกัน

           

BBC Sport ตั้งคำถามว่า นัดชิงยูโรปาลีกเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นนัดชิงที่ ‘สกปรกที่สุด’  หรือไม่? เมื่อผู้ตัดสินชาวอังกฤษ แอนโธนี เทย์เลอร์ ต้องแจกใบเหลืองให้กับนักฟุตบอลถึง 13 คน โดยเป็นฝั่งของโรมา 7 คน และเซบียาอีก 6 คนด้วยกัน ซึ่งบางคนก็โดนทั้งๆ ที่อยู่บนม้านั่งสำรอง บางคนไม่ได้ลงสนามด้วยซ้ำ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะมีเหตุวุ่นวายในสนาม

 

 

คนนอกสนามอีกคนที่โดนไปด้วยคือมูรินโญ ที่โดนใบเหลืองหลังออกมาโวยนอกเขตเทคนิคัลแอเรีย และโวยไม่หยุด เรียกว่ากลับมาเป็นมูรินโญคนเก่าที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี

           

อย่างไรก็ดี หากมองในมุมของมูรินโญและโรมา ก็อาจจะเข้าใจถึงเหตุผลในความเดือดดาล เพราะมีการตัดสินแบบน่ากังขาของเทย์เลอร์ รวมถึง ไมเคิล โอลิเวอร์ ที่รับหน้าที่ผู้ตัดสิน VAR ในเกมนี้

           

ทั้งจังหวะที่ให้จุดโทษกับเซบียาโดยไม่ฟังคำแนะนำจาก VAR ก่อนจะกลับคำตัดสินหลัง VAR ต้องแทรกแซงการตัดสิน ไปจนถึงการปฏิเสธที่จะให้จุดโทษกับโรมาในลูกแฮนด์บอลที่ชัดเจน โดยปฏิเสธที่จะปรึกษา VAR อีกครั้ง

           

การทำหน้าที่ของเทย์เลอร์ทำให้มูรินโญตบะแตกในเกมนี้ และลามไปถึงการพูดพาดพิงหลังจบเกมด้วยการประชดประชันว่า “ดีนะที่เราไม่ได้เล่นแชมเปียนส์ลีกในปีหน้า หวังว่าผู้ตัดสินคนนี้จะทำหน้าที่แค่ในแชมเปียนส์ลีก แล้วตัดสินได้ชุ่ยๆ แบบนี้อีกในเกมระดับนั้น”

           

หลังจากนั้นมูรินโญยังได้ไปดักรอเจอเทย์เลอร์ที่ลานจอดรถด้านในสนามแบบกะเอาเรื่อง ซึ่งยังดีที่ไม่ได้มีเหตุการณ์วุ่นวายอะไรนอกไปจากการตะโกนด่าจากมูรินโญผู้ผิดหวัง และตัดสินใจที่จะไม่เก็บเหรียญรองแชมป์ โดยโยนขึ้นไปบนอัฒจันทร์ให้แก่แฟนบอลรุ่นเยาว์คนหนึ่งเก็บไว้แทน

 

 

สิ่งที่น่าสนใจต่อจากนี้คือ อนาคตของ The Special One ที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า เป็นที่ต้องการตัวของปารีส แซงต์ แชร์กแมง และก่อนเกมไม่มีการการันตีอนาคตของตัวเองกับโรมา

           

มูรินโญเปิดเผยแค่ว่า ถ้ามีการติดต่อจากใครเข้ามา เขาก็ไม่คิดที่จะปิดบังต่อเจ้าของสโมสร เพียงแต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้รับการติดต่อจากใครเลย ไม่เหมือนตอนเดือนธันวาคมที่ทีมชาติโปรตุเกสติดต่อให้ไปคุมทีม แต่เขาปฏิเสธไป

           

ก่อนจะทิ้งปริศนาเอาไว้ให้คิดต่อว่า “ผมอยากจะอยู่กับโรมา แต่นักเตะของผมก็สมควรได้รับอะไรที่ดีกว่านี้ และผมเองก็สมควรที่จะได้รับอะไรที่ดีกว่านี้

           

“ผมอยากจะอยู่ต่อ แต่ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่เหมาะสมที่สุด เพื่อที่ผมจะทำงานได้อย่างเต็มที่ที่สุด”

 

จะตีความแบบไหน สุดแล้วแต่ใจของคุณ

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising