เศรษฐา ศิระฉายา ผู้ชายที่ผ่านช่วงเวลาเกือบ 60 ปีในวงการบันเทิง ผ่านงานทุกอย่างทั้งการเป็นนักร้องนำวง The Impossible ที่กวาดรางวัลมาแล้วแทบทุกสถาบัน, รางวัลเมขลา (โทรทัศน์ทองคำ) สาขาพิธีกร จากรายการ มาตามนัด และ น่ารักน่าลุ้น, รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี พ.ศ. 2519 สาขานักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม จากเรื่อง ฝ้ายแกมแพร, ผู้กำกับละครโทรทัศน์ เขยบ้านนอก รายการเรตติ้งสูงสุดของช่อง 3 ในขณะนั้น, พิธีกรบนเวทีคอนเสิร์ต ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ทุกซีซัน, ประธานกรรมการมูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโส ตั้งแต่ พ.ศ. 2545, ได้รับรางวัลพระราชทานบันเทิงเทิดธรรม พ.ศ. 2552 จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากงานไนน์ เอ็นเตอร์เทน อวอร์ดส์ ครั้งที่ 2 และรางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล-ขับร้อง) พ.ศ. 2554
แน่นอนว่ารางวัลที่เป็นเกียรติยศแห่งชีวิตกลายเป็นแรงใจและกำลังให้เศรษฐามุ่งหน้าทำงานในหน้าที่ของตัวเองด้วยความสุขเย็นในหัวใจที่เกิดขึ้นจากพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้ ในครั้งที่เศรษฐาได้รับรางวัลพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
“ผมเข้ารับพระราชทานรางวัลจากพระองค์ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นรางวัลพระราชทานการประกวดวงดนตรีสตริงคอมโบชนะเลิศ ซึ่งจัดโดยสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (พ.ศ. 2512) วง The Impossible ที่ผมเป็นนักร้องนำได้รับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์ของท่าน มันตื้นตัน ปลื้มใจ มันเหมือนกับเรามีพลังที่จะทำงาน จริงๆ แล้วเมื่อก่อนไม่ค่อยชอบร้องเพลงเท่าไร ชอบเรียนหนังสือมากกว่า แล้วพอประสบความสำเร็จตรงนั้น เราก็รู้สึกว่านี่แหละทางของเรา พระองค์มาโปรดแล้ว
“หลังจากนั้นผมก็กระโดดเข้ามาอยู่ในวงการภาพยนตร์ ก็ได้มาเล่นเรื่อง ฝ้ายแกมแพร (พ.ศ. 2518) คู่กับคุณดวงดาว จารุจินดา ส่วนอีกคู่หนึ่งเป็นคุณนาถ ภูวไนย กับคุณอรัญญา นามวงศ์ แล้วก็ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี (ตุ๊กตาทอง) จากเรื่องนี้จากพระหัตถ์ของพระองค์
“ตอนที่หนังเรื่อง ฝ้ายแกมแพร ส่งเข้าประกวดรางวัลตุ๊กตาทอง ตอนนั้นผมไปทำงานอยู่ที่ไทเป ป้าเขาก็ส่งหนังสือพิมพ์มาให้ดู บอกว่าผมได้รับรางวัลตุ๊กตาทองจากพระองค์ด้วยนะ จะกลับมาได้ไหม เราดีใจมาก บอกกับป้าไปว่าถ้าได้เข้าเฝ้าฯ ในหลวง ยังไงก็ต้องไป
“ผมก็ขอลางานที่โน่น แต่พอวันที่จะบินกลับมีพายุเข้า รอเครื่องบินอยู่ 3-4 ชั่วโมงก็ไม่มีเครื่องบินยอมขึ้นเลย พายุรุนแรงมากจนเจ้าหน้าที่เขาให้กลับไปรอที่โรงแรม ถ้าเครื่องบินขึ้นได้เขาจะโทรไปตาม ผมก็กลับไปรอที่โรงแรมจนสัก 3-4 โมงเย็นได้ เขาก็โทรมาตามว่ามีเครื่องขึ้นนะ ลำเดียวเลย ถ้าคุณจะไปต้องมาเดี๋ยวนี้
“ตอนที่ผมไปถึงสนามบิน ท้องฟ้ามันเป็นสีชมพูเลย น่ากลัวมาก โอ้โห เร่งกันน่าดู วิ่งกันตุ้บตั้บไปขึ้นเครื่อง พอเครื่องเริ่มบินทีนี้พายุเข้าอีกรอบเลย พอเครื่องยกหัวขึ้นเท่านั้น มันเหมือนลมอัดเข้าใต้ปีกดังโป้ง ปั้ง ผมนี่นึกถึงในหลวงอย่างเดียวเลย ขอให้ได้ไปเข้าเฝ้าฯ พระองค์เถิด เป็นครั้งแรกเลยนะที่เหมือนเรานอนอยู่บนเครื่องบินหงายท้อง เขาบินพุ่งขึ้นฟ้าหนีพายุอย่างเดียวเลย โอ้โห มันน่ากลัวจริงๆ แต่ในที่สุดก็มาถึงกรุงเทพฯ จนได้
“ครั้งนี้ผมไปรับรางวัลที่พระราชวังดุสิต ทุกคนที่ได้รับรางวัลพระสุรัสวดีในปีนั้นก็เข้ารับพระราชทานรางวัลพร้อมกัน เท่าที่จำได้มีคุณโย-ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา (สาขานักแสดงประกอบหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง ประสาท พ.ศ. 2519) ความรู้สึกเหมือนได้เกิดอีกแล้วชีวิตนี้ เหมือนมีน้ำมนต์พรมรดศีรษะ มันเย็นวาบไปทั้งตัว ตื่นเต้นมากครับ เวลาได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ทีไรก็แอบมองเห็นว่าสายพระเนตรของพระองค์ทรงพระเมตตามาก จะทรงอมยิ้มตลอดเวลา แล้วหลังจากนั้นผมก็แจ้งเกิดในฐานะนักแสดงเลย”
นับถึงปัจจุบัน เศรษฐา ศิระฉายา มีผลงานการแสดงภาพยนตร์มากกว่า 80 เรื่อง มีงานแสดงทางโทรทัศน์อีกจำนวนมาก และยังคงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้วงการบันเทิงในฐานะนักแสดงอาวุโสที่ทุกคนให้ความรักและเคารพ กระนั้นเขาก็ไม่เคยยึดติดกับความสำเร็จและชื่อเสียงที่ได้รับ เพราะกว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้ เศรษฐาบอกเองว่ายากลำบากราวกับ ‘คลุกขี้ฝุ่นมาตลอดทาง’
“ผมไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นพระเอก เพราะหน้าตาเราก็ไม่ได้หล่อเหลาขนาดเป็นพระเอกได้ ยิ่งแต่ก่อนหน้าตาแย่ๆ ผอมๆ ผมเคยเอารูปมาดูก็ โอ้ ยังมองตัวเองว่าหน้าตาอย่างนี้เอง มันมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ยังไง
“ผมเข้ามาในวงการนี้เพราะน้าชาย สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ เขาเป็นพระเอกหนัง แล้วก็เป็นนักร้องด้วย ตอนนั้นสู้ชีวิตมาก คือมันเป็นความฝัน แล้วเราไม่คิดว่าจะมายืนถึงตรงจุดนี้ได้ เพราะเป็นคนที่ไม่มีแววทางด้านนี้เลย แต่ในที่สุดแล้วด้วยความที่อยู่ใกล้ชิดกับวงดนตรี นักดนตรี นักแสดง มันก็ไปของมันเอง ประกอบกับต้องออกจากโรงเรียนเพราะครอบครัวจนมาก ไม่มีเงินส่งค่าเรียน ก็เลยต้องกระโดดเข้ามาอยู่ในวงการจนได้ เมื่อน้าทำหนัง ผมก็ไปเล่นหนังกับน้า เป็นตัวประกอบเลย มีบทพูดอยู่บ้าง และที่ได้แสดงเป็นบทบาทจริงๆ ก็หลังจากเล่นเรื่อง ฝ้ายแกมแพร
“หลังจากที่ได้รางวัลตุ๊กตาทองจากเรื่อง ฝ้ายแกมแพร ตอนนั้นเลิกวง The Impossible แล้วหันมาแสดงเต็มตัว ก็เคยมีคอลัมนิสต์เขียนถึงผม เขาเขียนว่าจะไปได้สักกี่น้ำ อดตายแหงๆ เขาจั่วหัวแบบนี้เลยนะ แรงมาก ยังจำได้จนถึงบัดนี้เลย เขาคิดว่าหน้าตาอย่างเราจะไปทางไหนก็ไม่ไป จะผู้ร้ายก็ไม่ได้ จะพระเอกก็ไม่ดี จะอยู่ในวงการนี้ไปได้สักแค่ไหน จะมีใครจ้าง อ่านไปนี่ก็ใจหายไปเหมือนกันนะ เขาวิจารณ์เราแรงมาก แต่ผมไม่เคยยอมแพ้
“เพราะตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้าวงการ กว่าจะมาเป็นวง The Impossible ได้ก็อีโหลกโขลกเขลกอยู่ตามแคมป์ทหารอเมริกันที่เขามาอยู่ตามอุดรธานี อุบลราชธานี โคราช เราก็ไปเล่นดนตรีตามแคมป์ แล้วกรุงเทพฯ สมัยนั้น ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ทั้งเส้นเป็นบาร์หมดเลยนะ บางแห่งมีพื้นที่เยอะๆ ก็สร้างบาร์ไว้สวยๆ แล้วทหารอเมริกันอยู่แถวนี้ทั้งนั้นเลย อาก็ตระเวนเล่นจนได้มาเจอพรรคพวกที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แล้วตั้งเป็นวง The Impossible ขึ้นมา
“วง The Impossible มีเพลงเข้าไปประกอบภาพยนตร์ค่อนข้างเยอะ จนผมโดดเข้าไปสู่วงการภาพยนตร์ เพราะเวลาเราไปเล่นดนตรีก็มีโอกาสได้เข้าฉาก เข้าไปนั่งยิ้มแป้นอยู่อย่างนั้น ผมก็คอยสังเกตว่าวงการภาพยนตร์เขาทำอะไรกันบ้าง ก็โชคดีที่ได้ไปแสดงภาพยนตร์ของท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) ก็ถามท่านตลอด อันนี้เขาทำอย่างไรกัน กล้องต้องใช้เลนส์อะไรบ้าง ถามตลอด ท่านเป็นคนน่ารักมาก ตอบทุกคำถาม ผมยังนับถือท่านเป็นพระอาจารย์มาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าท่านจะไม่ได้สอนอะไรผมจริงจังมากก็ตาม
“จากตรงนั้น พอวันหนึ่งได้มาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ก็ใช้วิชาที่เรียน ที่ถามท่านมาประกอบกับประสบการณ์ที่เราได้เจอมาจนพอจะกำกับภาพยนตร์ได้ ก็กำกับภาพยนตร์ไปด้วย แล้วก็ยังทำงานโทรทัศน์ไปด้วย ดูคนอื่นเขาจัดรายการว่าทำอย่างไร เป็นพิธีกรทำอย่างไร คือดูส่วนที่ดีๆ ของเขา จนวันหนึ่งก็มีโอกาสได้ไปเป็นพิธีกร มาตามนัด ผมไม่เคยทำมาก่อน พอเขาถามว่าทำได้ไหม ผมก็บอกว่า คิดว่าได้ ขอลองทำในสไตล์ของผมนะ ผมจะไม่ทำเหมือนคนอื่น ไม่ต้องมาบล็อกอะไรนะ ผมขอเวลาสัก 3 เดือน ถ้าไม่เวิร์กก็เลิก แล้วเขาก็ส่งญาณี จงวิสุทธิ์ มาเป็นพิธีกรคู่กัน ปรากฏว่าปาฏิหาริย์เลย รายการ มาตามนัด มันดังมากๆ นี่คือการพัฒนาตัวเองจากการที่เราเรียนรู้
“สิ่งที่อยากจะบอกกับคนที่มาทำงานวงการนี้ จะดูภาพยนตร์ก็ดี ฟังเพลงก็ดี ดูตลก ดูรายการทีวีก็ดี อยากบอกว่าอย่าเอาแต่ตำหนิ อย่าเอาแต่มองส่วนที่ไม่ดีของเขา ให้มองหาส่วนที่ดีของเขา ผมเชื่อว่างานทุกชิ้นมีส่วนที่ดีทั้งนั้นล่ะ มองไว้แล้วเลือกเอาส่วนที่ดีออกมา เก็บเข้าไปไว้ในสมอง แล้วมันจะกลายเป็นอาวุธของเราได้อย่างไม่รู้ตัว เรื่องพวกนี้ก็เป็นครูของเราเหมือนกัน ผมบอกได้เลยว่าเราอย่าไปดูถูกในสิ่งที่เรามองว่ามันไร้สาระหรือไม่มีอะไร
“ทุกวันนี้ในชีวิตจริง สิ่งที่เราพยายามก็คือทำให้ทุกคนรู้ว่าจิตใจเราเป็นอย่างไร ในตัวจริงๆ เราเนี่ยเป็นอย่างไร แล้วก็ทำกับชีวิตของตัวเองมาตลอด อาจเป็นเพราะว่าเราผ่านอะไรมามากมาย ถูกกลั่นแกล้ง ถูกรังแกมาเยอะแยะ ดังนั้นเราก็อยากจะมอบสิ่งเหล่านี้ให้สังคม มอบให้คนอื่นๆ ให้เขาได้มีโอกาส ผมไม่เคยคิดว่าจะทำแล้วเป็นพระเอกในชีวิตจริงไหมหรอกนะ คิดแต่ว่าทำอะไรถึงจะช่วยคนโน้นคนนี้ได้บ้างตามกำลังที่เรามีอยู่ ผมทำมาตลอด ตั้งแต่พอเราเริ่มยืนขึ้นได้จากที่คลุกขี้ฝุ่นมาตลอดทางเนี่ย เราก็เริ่มคิดถึงคนอื่นๆ ที่ไม่มีโอกาสแบบเรา อย่างน้อยๆ ถึงเราจะคลุกฝุ่นมาอย่างไรก็ตาม เราก็ยังมองเห็นแสงสว่างข้างหน้า แต่ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ไม่สามารถมองเห็นแสงสว่างแบบเรา
“สำหรับชีวิตตัวเอง ผมว่ามันเกินที่หวังไว้แล้วล่ะ เพราะผมไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงมากมายขนาดนั้น คือหวังจะมีชีวิตครอบครัวที่สามารถอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อนคนอื่น แต่ที่เกินเลยขึ้นมามันเป็นสิ่งที่เราสามารถเผื่อแผ่ได้ เราสามารถช่วยเหลือคนนั้นคนนี้ได้ ตรงนี้ล่ะเป็นสิ่งที่ล้นออกมา และเราทำเพื่อคนอื่น เป็นความรู้สึกจริงๆ ตอนนี้ผมนอนหลับสบาย แฟนยังบอกว่าคุณเนี่ยสบาย หัวถึงหมอนก็หลับแล้ว ก็เพราะมันไม่มีความทุกข์อะไรในสมองแล้ว เราคิดว่าเราไม่ได้มีอย่างมหาเศรษฐีเขา แต่เราก็พอเพียงกับสิ่งที่เรามีอยู่”
Cover Photo: ภาพยนตร์ บิ๊กบอย โดย M39 Studio