×

ศบศ. เคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 6.8 หมื่นล้านบาท หนุน SET ปรับตัวขึ้นช่วงท้ายวันนี้

โดย SCB WEALTH
02.09.2020
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

วันนี้ (2 กันยายน) ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2 มาตรการ วงเงินรวม 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย

 

1. มาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ วงเงินรวม 4.5 หมื่นล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย โดยรัฐบาลจะช่วยเหลือเงินค่าครองชีพแก่ประชาชน 50% ในวงเงินไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งใช้จ่ายเงินได้ในระยะเวลา 3 เดือน และจะต้องจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง 

 

ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งมีประมาณ 15 ล้านคน โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังจัดทำรายละเอียดและกลับมาเสนอต่อ ศบศ. ในอีก 2 สัปดาห์

 

2. มาตรการจ้างงานสำหรับเด็กจบใหม่ วงเงินรวม 2.3 หมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบแก่นายจ้าง 50% ของเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาเป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 ถึงตุลาคม 2564 เพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้ที่จบการศึกษาใหม่ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ 

 

ระดับปริญญาตรี ปวส. และ ปวช. โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบสำหรับวุฒิปริญญาตรีไม่เกิน 7,500 บาท, ปวส. ไม่เกิน 5,550 บาท, ปวช. ไม่เกิน 4,700 บาท 

 

ทั้งนี้ลูกจ้างที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. มีสัญชาติไทย
2. อายุไม่เกิน 25 ปี หรืออายุเกินกว่า 25 ปี ซึ่งสำเร็จการศึกษาในปี 2562 หรือปี 2563

 

กระทบอย่างไร:

วันนี้ (2 กันยายน) ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวซบเซาในช่วงเช้า พร้อมด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เงียบเหงา ขณะที่ช่วงบ่ายตลาดหุ้นไทยเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น หลัง ศบศ. เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ SET Index ปรับตัวขึ้นปิดที่ระดับ 1,315.88 จุด เพิ่มขึ้น 10.31 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.79%DoD โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ราคาหุ้นปรับตัวอย่างโดดเด่นในวันนี้คือหุ้นกลุ่มค้าปลีก (SETCOMM) ที่เพิ่มขึ้น 0.99%DoD

 

มุมมองระยะสั้น:

SCBS มองว่ามาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายนี้จะเป็นปัจจัยบวกเชิงจิตวิทยาต่อราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกในระยะสั้น โดยจะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยและกำลังซื้อในประเทศได้ชั่วคราว ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าได้ประโยชน์จากมาตรการนี้มากที่สุดคือกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์(BJC) และ บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) ขณะที่มาตรการจ้างงานเด็กจบใหม่จะช่วยจูงใจให้ผู้ประกอบการหันมาจ้างงานนักศึกษาจบใหม่มากขึ้น และจะช่วยเพิ่มการจ้างงานในระบบมากขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของกลุ่มนักศึกษาจบใหม่เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี จากนี้ยังต้องติดตามรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติมจากทางกระทรวงการคลังในอีก 2 สัปดาห์

 

มุมมองระยะยาว:

ในระยะยาวตลาดหุ้นไทยยังคงขาดปัจจัยสนับสนุนที่ชัดเจน เว้นแต่พัฒนาการทางด้านวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งจะช่วยลดความกังวลต่อการแพร่ระบาดและทิศทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลังหดตัวลง นอกจากนี้ยังคงมีความเสี่ยงจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบที่เข้ามาเป็นระยะๆ ต่อจากนี้ รวมถึงยังคงมีความเสี่ยงจากการปรับฐานของราคาน้ำมันดิบที่อาจกดดันต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำและการเมืองในประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องจับตาต่อไปสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising