×
SCB Omnibus Fund 2024

ส่องมุมมอง ‘เซียนหุ้น’ ต่อแนวโน้ม SET Index ไปได้อีกไกลแค่ไหน

11.02.2022
  • LOADING...

นับตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา นักลงทุนต่างชาติโหมซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดซื้อรวมกันกว่า 52,199 ล้านบาท หนุนให้ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ขยับขึ้นมาราว 2.3% ทะลุระดับ 1,700 จุด ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี 7 เดือน

 

โดยเฉพาะในช่วงสองวันมานี้ ยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติเด่นชัดมากขึ้น ซึ่งในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ นักลงทุนกลุ่มนี้มียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 17,416 ล้านบาท และวันนี้ (10 กุมภาพันธ์) ยังซื้อสุทธิเพิ่มอีก 8,461 ล้านบาท…มาถึงจุดนี้เชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามว่า หลังจากนี้ SET Index จะยังไปได้ต่อหรือไม่ แล้วนักลงทุนต่างชาติจะเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกนานแค่ไหน

 

THE STANDARD WEALTH จึงสำรวจมุมมองจากนักลงทุน VI และรายใหญ่ที่มีประสบการณ์ลงทุนในหุ้นไทยมาอย่างยาวนาน ถึงมุมมองที่มีต่อเรื่องดังกล่าว โดยสรุปได้ว่าตลาดหุ้นไทยยังไปได้ต่อ จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่จะไหลเข้าต่อเนื่อง และจะทำให้ปีนี้ SET Index มีโอกาสทำ All Time High ได้

 

 

‘ดร.นิเวศน์’ มองดัชนี 1,700 จุด สมเหตุสมผล

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor) ของตลาดหุ้นไทย กล่าวว่า SET Index ที่ระดับ 1,700 จุด ถือว่าสมเหตุสมผล และเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้อีก โดยระดับดัชนีที่ 1,800 จุด ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น 

 

ปัจจัยสนับสนุนหลักคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังจากที่ไม่มีการเติบโตมาราว 2 ปี และราคาตลาดหุ้นที่ยัง Laggard เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น

 

“ตลาดหุ้นไทย Laggard เทียบกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก ส่วนหนึ่งเพราะโควิดกระทบหุ้นไทยมากกว่าหุ้นทั่วโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นจนสร้างระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปแล้วเมื่อปีก่อน จึงมองว่าหากเศรษฐกิจไทยกลับสู่ระดับก่อนโควิด ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะตอบรับเชิงบวกด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น ดัชนีน่าจะกลับไปที่เดิมก่อนโควิด คือระดับ1,800 จุดได้ แต่ไม่สามารถระบุชัดว่าจะเห็นในปีนี้หรือปีหน้า เนื่องจากต้องประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยด้วย”​ ดร.นิเวศน์กล่าว

 

มองหุ้น ‘บิ๊กแคป’ เป้าต่างชาติเข้าซื้อ

ดร.นิเวศน์กล่าวเพิ่มว่า กระแสเงินลงทุนต่างชาติที่เริ่มเข้ามา เชื่อว่าจะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปเยอะมาก ราว 7-8 แสนล้านบาท การเริ่มกลับเข้ามาครั้งนี้น่าจะเพิ่งเริ่มต้น โดยหุ้นที่เป็นเป้าหมายเข้าลงทุนคือหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาหุ้นยังไม่แพงและอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต

 

สำหรับปัจจัยกังวลเรื่องสภาพคล่องที่มีแนวโน้มลดลงทั่วโลก จากการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางหลายประเทศนั้น มองว่าผลกระทบที่จะเกิดกับตลาดหุ้นไทยนั้นค่อนข้างน้อย ในทางตรงกันข้าม อาจจะได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว ต้องการนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกมาก ดังนั้นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ทำให้มีความน่าสนใจเข้าลงทุนมากกว่าประเทศที่เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

 

หุ้นไทยยัง Laggard เมื่อเทียบตลาดหุ้นอื่น

อธิป กีรติพิชญ์ หรือ นิ้วโป้ง นักลงทุนหุ้นแนว VI ของตลาดหุ้นไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ปรับเพิ่มขึ้นด้วย 2 ปัจจัยหลักคือ สภาพคล่องที่ยังมีอยู่ในระดับสูงและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งตลาดหุ้นบางแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจนพ้นระดับช่วงก่อนเกิดโควิดไปแล้ว และบางประเทศดัชนีก็ปรับเพิ่มขึ้นจนสร้างจุดสูงสุดครั้งใหม่ได้เช่นกัน แต่ภาพรวมหุ้นไทยกลับแตกต่างออกไป

 

โดยตลาดหุ้นไทยยังไม่ปรับขึ้นมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคนอื่น เพราะได้รับผลกระทบจากโควิดค่อนข้างมาก 

 

ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่ปี 2565 ที่ปัจจัยภายนอกเปลี่ยน คือสภาพคล่องมีแนวโน้มจะลดลงและอัตราดอกเบี้ยเป็นทิศทางขาขึ้น ทำให้เงินลงทุนที่ตลาดหุ้นฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยตลาดหุ้นที่เป็นเป้าหมายคือตลาดหุ้นที่เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวชัด และอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ 

 

“ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในปลายทางการลงทุนที่สำคัญของนักลงทุนต่างชาติในรอบนี้” อธิปกล่าว

 

นอกจากนี้เขายังบอกด้วยว่า ลักษณะการไหลเข้าของเงินต่างชาติครั้งนี้น่าจะเหมือนกับช่วงปี 2555-2556 หรือครบรอบ10 ปีพอดี โดยในปี 2555 นั้น Fed ยังมีการทำ QE อยู่ ทำให้มีสภาพคล่องล้นระบบ สินทรัพย์เสี่ยงมี Performance ที่ดีมาก และพอเข้าสู่ปี 2556 ที่ Fed ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ เงินลงทุนต่างชาติพากันไหลออก และมาเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่เพื่อ Search for Yield จึงมองว่าพฤติกรรมนักลงทุนต่างชาติครั้งนี้ก็น่าจะเป็นลักษณะเดียวกัน

 

เชื่อหุ้นไทย All Time High ปีนี้ 

เขากล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ธนาคาร สื่อสาร ค้าปลีก หุ้น AOT และ SCC ที่ราคาหุ้นยัง Laggard อยู่ ซึ่งหุ้นบิ๊กแคปมีน้ำหนักต่อดัชนีมาก เมื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะผลักดันให้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน 

 

โดยมองว่าโอกาสที่ SET Index จะปรับขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือ All Time High ได้ในปีนี้ คือยืนเหนือระดับ 1,850 จุด ภายใต้เงื่อนไข 3 อย่าง คือ

  1. สามารถควบคุมสถานการณ์โควิดได้ดี
  2. เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนทั่วไปเปิด Position ในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น
  3. มีการเปิดประเทศ 100% กล่าวคือ ทุกประเทศสามารถเปิดประเทศได้หมด 

 

“ด้วยคาแรกเตอร์หุ้นไทยที่เงินลงทุนต่างชาติมีผลเสมอ โดยถ้าปีไหนต่างชาติซื้อสุทธิหรือขายสุทธิไม่เกิน 30,000 ล้านบาท หุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ แต่หากมีการขายสุทธิเกิน 100,000 ล้านบาท หุ้นไทยจะติดลบ” อธิปกล่าว

 

แนะเฟ้นหาหุ้น Laggard เพื่อลงทุน

อย่างไรก็ตาม แม้จะเชื่อมั่นว่าแนวโน้มหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้น แต่ก็ควรเลือกลงทุน และมองว่ารอบนี้เป็นรอบของหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคายัง Laggard โดยวิธีหาหุ้นที่ราคายังไม่แพง คือการเทียบราคาหุ้นปัจจุบันกับราคาในช่วงปี 2563 ที่ดัชนีอยู่ระดับ 1,300-1,400 จุด เพื่อหาหุ้นที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงแม้ดัชนีจะบวกขึ้นมาแล้ว 300-400 จุดก็ตาม จากนั้นก็ควรดูปัจจัยพื้นฐานประกอบเพื่อพิจารณาถึงแนวโน้มการเติบโตของหุ้นนั้นๆ และภาพรวมอุตสาหกรรม

 

 

‘เสี่ยป๋อง’ มองต่างชาติเพิ่งเริ่มซื้อ

วัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง หนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ของตลาดหุ้นไทย กล่าวว่า ส่วนตัวยังเชื่อว่าหุ้นไทยยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น และการเข้าซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

 

“เงินต่างชาติเพิ่งเข้ามาหนักๆ ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา และไม่ได้เข้าเฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่ก็เข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน จึงเชื่อว่าจากนี้ไปจะมีเงินไหลเข้าอีกเรื่อยๆ แต่ระหว่างทางก็จะมีขายออกหรือสลับกลุ่มบ้าง โดยกลุ่มที่ต่างชาติน่าจะเข้าซื้อก็คือหุ้นขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มแบงก์ พลังงาน และสื่อสาร” วัชระกล่าว

 

สำหรับปัจจัยที่น่ากังวล ทั้งเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การดึงสภาพคล่องออกจากระบบ และการแพร่ระบาดของโควิด มองว่าตลาดรับรู้และซึมซับปัจจัยเหล่านี้ไปหมดแล้ว จึงเชื่อว่าหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสปรับขึ้นไปถึงระดับเหนือ 1,800 จุด ซึ่งเป็นจุดที่สมาคมนักวิเคราะห์ทำการสำรวจและประเมินเอาไว้ได้ 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising