วานนี้ (6 มีนาคม) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติ 11 เสียง ต่อ 4 เสียง เห็นชอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ดำเนินคดีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้ไปด้วยสุจริตและเที่ยงธรรม ในความผิดฐานฟอกเงินเป็นคดีพิเศษ
ในวันเดียวกัน ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง ผู้เข้าร่วมประชุมแทน อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะคณะกรรมการโดยตำแหน่ง ได้เปิดเผยในรายการ THE STANDARD NOW ว่า ในที่ประชุมได้ถกเถียงกันเรื่องตัวบทกฎหมาย มีการตีความคนละแบบ บางท่านบอกว่าเป็นการกระทำหลายกรรม ผิดกฎหมายหลายบท แต่บางท่านก็พิจารณาว่าเป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท
ไชยวัฒน์ระบุว่า ส่วนตัวได้ลงมติไม่เห็นชอบกับการดำเนินคดีฐานฟอกเงิน เนื่องจากเห็นว่าเรื่องทรัพย์สิน 300 ล้านบาท ยังไม่มีหลักฐานเส้นทางการเงินที่จะโยงไปว่าแต่ละท่านใช้เงินเท่าใด แล้วคูณออกมาเป็นจำนวนเงินที่คาดคะเน ซึ่งได้ทักท้วงในที่ประชุมไปแล้ว ส่วนคณะกรรมการที่เห็นชอบ เนื่องจากแต่ละคนมีดุลพินิจที่ต่างกัน เราคงไม่ก้าวล่วง
สำหรับเรื่องข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร ไชยวัฒน์กล่าวว่า ที่ประชุมไม่ได้มีการพูดถึง แต่หยิบยกเรื่องความผิดฐานฟอกเงินซึ่งเป็นอำนาจของ DSI และต้องมีทรัพย์สินตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมีคณะกรรมการ 11 คนที่เห็นว่าเรื่องของการฟอกเงินอยู่ในอำนาจของ DSI
อย่างไรก็ตาม หาก DSI สอบสวนตรวจพบมูลของข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร ก็จะดำเนินการต่อไป ซึ่งต้องว่ากันตามมูลฐานความผิดทางกฎหมายว่าจะไปถึงหรือไม่
ไชยวัฒน์ยังยืนยันว่า การลงมติไม่เห็นชอบนั้น ไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องข้อกฎหมาย แต่เป็นเพราะมองต่างกันในเรื่องของทรัพย์สินมูลค่า 300 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากยังไม่ปรากฏหลักฐาน
ส่วนเรื่องนี้จะจบอย่างไร ก็แล้วแต่พยานหลักฐานว่าจะไปถึงตรงไหน ซึ่งก็ไม่ก้าวล่วงทาง DSI ที่ต้องหาพยานหลักฐานมาสนับสนุน
ทั้งนี้ ไชยวัฒน์ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง แต่คิดว่าเป็นการตีความกฎหมาย พร้อมย้ำว่า มุมมองของแต่ละคนก็จะใช้กฎหมายเป็นหลัก
