×

วงสัมมนา ‘ค่าแรงขั้นต่ำ ขายฝันแรงงานไทย’ สะท้อนพรรคการเมืองขายฝันผ่านนโยบาย กังวลเศรษฐกิจพัง ขอให้คำนึงรอบด้านทั้งระบบ

โดย THE STANDARD TEAM
18.03.2023
  • LOADING...

วันนี้ (18 มีนาคม) ที่งานสัมมนาสาธารณะในประเด็น ‘ค่าแรงขั้นต่ำ ขายฝันแรงงานไทย’ ของหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ บสก. รุ่นที่ 11 โดยสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย

 

ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า ในฐานะนายจ้าง ตนเข้าใจว่าลูกจ้างต้องการค่าจ้างในอัตราที่สูงกว่าที่เป็นอยู่เพื่อให้เพียงพอต่อค่าครองชีพ แต่ขอให้ลูกจ้างเข้าใจบริบทของประเทศไทยที่การขายสินค้าในบางกลุ่มยังขายได้ในมูลค่าที่ไม่สูงมากนัก   

 

ทั้งนี้ การคิดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของไทย จะผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการไตรภาคีค่าจ้าง 3 ฝ่าย โดยใช้ตามหลักสากล ซึ่งจะพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจ  เงินเฟ้อ ความสามารถของนายจ้างที่จะจ่าย และความเป็นอยู่ของลูกจ้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลกับทุกฝ่าย    

 

“ค่าจ้างขั้นต่ำเสมือนเป็นค่าจ้างแรกเข้า เป็นค่าจ้างตามกฎหมาย ที่นายจ้างต้องจ่ายให้กับลูกจ้างอย่างเท่าเทียม การจ้างงานของไทยในขณะนี้อยู่ในภาวะตึงตัว ตลาดเป็นของลูกจ้าง หรืออยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงานไปอีกอย่างน้อย 5 ปี โดยเฉพาะแรงงานในระดับกลาง-ระดับสูง เนื่องจากแรงงานยังไม่กลับเข้าสู่ระบบ  หลังจากการระบาดของโควิด” ธนิตกล่าว

 

ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองต่างใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียงด้วยการชูประเด็นด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ธนิตกล่าวว่า เป็นนโยบายชวนเชื่อทางการตลาด  แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งทำได้จริง เพราะการขึ้นค่าจ้างเป็นเรื่องของนายจ้าง เป็นเรื่องของภาคเอกชนที่เป็นผู้จ่าย ไม่ได้ใช้งบประมาณของพรรคการเมือง หรืองบจากภาครัฐแต่อย่างใด โดยหากค่าจ้างที่สูงขึ้นเกินจากความเป็นจริง จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ของการอุปโภคบริโภคทั้งหมด และสุดท้ายภาระจะตกอยู่กับผู้บริโภค ทั้งนี้ ในฐานะนายจ้าง ตนมองว่าค่าจ้างขั้นต่ำของไทยควรจะเป็นค่าจ้างที่ขึ้นเป็นอัตโนมัติตามอัตราเงินเฟ้อ และต้องไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง  

 

“นายจ้างและลูกจ้างต้องอยู่ด้วยกันได้เหมือนปาท่องโก๋ ดังนั้นการขึ้นค่าจ้าง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ขององค์กรไตรภาคีที่ทำกันมาแล้วกว่า 30 ปี การเมืองอย่าเข้ามาแทรกแซงทำลายต้นทุนของชาติ และประชาชนก็ต้องรู้เท่าทันว่าพรรคการเมืองต่างๆ เขาใช้การตลาด 100% เพื่อให้ได้เข้ามาในสภา” ธนิตกล่าว  

 

ธนิตยังกล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากนี้อยากฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ Gen Z ที่กำลังหางานทำ สิ่งที่ต้องมีคือทักษะด้านภาษา โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานต้องมี บุคลิกภาพที่ดี การแต่งกายที่เหมาะสม มีการเตรียมข้อมูลก่อนการสัมภาษณ์ และสุดท้ายอย่าเลือกงานเพราะแม้ว่าเงินเดือนจะน้อยในตอนต้น แต่ประสบการณ์ทำงานจะทำให้เราสามารถเพิ่มค่าตอบแทนในอนาคตได้

 

ด้าน ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ที่ปรึกษาฝ่ายการวิจัยนโยบายทรัพยากรมนุษย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงผลกระทบของการดำเนินนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ว่าปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยอยู่ระหว่าง 308-330 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับจังหวัด ยังมีแรงงานที่ยังไม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่า 4 ล้านคนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบัน 

 

การใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำจำเป็นต้องมีการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่ มีประสิทธิภาพสูง และควรครอบคลุมถึงการเลี้ยงดูคู่สมรสและบุตรด้วย และค่าจ้างขั้นต่ำไม่ใช่ค่าจ้างเริ่มต้นของแรงงานมีฝีมือในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอาจทำให้เกิดปัญหาการปลดแรงงาน ดังนั้นการเพิ่มค่าจ้างแรงงานควรเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาด

 

ยงยุทธกล่าวด้วยว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเปรียบเสมือนเหรียญสองด้านคือ ต้นทุนผู้ประกอบการที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากการรับภาระค่าแรง ธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่า หากเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานได้มากขึ้น ต้นทุนค่าแรงอาจไม่เพิ่มขึ้น 30-40% เท่ากับค่าแรงที่ปรับขึ้น และด้านการใช้จ่ายของประชาชน การเพิ่มค่าแรงอาจไม่ทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้จริงผลกระทบต่อเงินเฟ้ออาจไม่สูงมาก

 

“ทั้งนี้ การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของค่าจ้างแรงงานได้มากพอสมควร และไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญทางสถิติต่อสัดส่วนการจ้างงานและสัดส่วนการเข้าร่วมแรงงานของแรงงานทักษะต่ำ แต่เป็นภาพลวงตาจากการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างภาคการผลิต ทั้งนี้ ผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายที่น่ากังวลที่สุดอยู่ในกลุ่มแรงงานทักษะต่ำในวัยหนุ่มสาวอายุ 15-24 ปีมากกว่า” ยงยุทธกล่าว

 

ยงยุทธกล่าวต่อไปว่า ในข้อเท็จจริงพบว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำยังไม่เหมาะสม เช่น ไม่ทันกับค่าครองชีพ ไม่สอดคล้องกับผลิตภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้น แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดี เช่น แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นทำให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทำให้แรงงานได้ประโยชน์ประมาณ 3.2 ล้านคน หรือประมาณ 30% ช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำให้กับแรงงาน

 

ด้าน สาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า ค่าแรงขั้นต่ำเป็นที่ถกเถียงกันมานาน ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามที่จะเสนอค่าจ้างที่เป็นธรรมให้กับลูกจ้าง แต่ปัญหาคือคนส่วนใหญ่รับค่าจ้างขั้นต่ำแต่ไม่มีหลักประกันในการทำงาน เพราะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองว่าจะสอดรับหรือไม่ทำให้ไม่สามารถวางแผนอนาคตได้  

 

คนงานส่วนใหญ่ต้องทำงานมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมง ซึ่งมีผลต่อสุขภาพ และประกันสังคมก็ไม่ตอบสนองด้านแรงงานเป็นหนี้เป็นสิน จะเห็นได้ว่าแรงงานอยู่ในสภาวะที่ลำบาก เมื่อคนส่วนใหญ่อยู่ในสภาพชีวิตแบบนี้ แน่นอนว่าไม่สามารถแข่งขันได้ในอนาคต

 

“ผมอยากบอกรัฐว่า เห็นว่าให้เลิกพูดเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ แต่เสนอให้เป็นระบบโครงสร้างค่าจ้าง ทุกปีจะต้องมีการปรับขึ้นของเงินเดือนที่ต้องอิงกับดัชนีค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อ เพื่อพิจารณาว่าจะปรับขึ้นค่าจ้างเท่าไร เพราะการขึ้นค่าจ้างต้องยอมรับว่าเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่เข้าไปแทรกแซงกลไกเจรจาต่อรอง” สาวิทย์กล่าว

 

สาวิทย์กล่าวต่อไปว่า วันนี้มีผู้ใช้แรงงานกว่า 40 ล้านคน แต่การรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานมีเพียง 6 แสนคน ซึ่งกลไกในการเจรจาต่อรองจึงไม่เกิดขึ้น จึงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องหาทางออกว่า ระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องค่าจ้างแรงงานควรจะเป็นเท่าไร ซึ่งมีงานวิจัยเกี่ยวกับค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการผลิต อีกทั้งประสิทธิภาพการทำงานออกมาดี แต่สำหรับประเทศไทยพบว่าแม้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น แต่ค่าแรงขั้นต่ำกลับปรับขึ้นเพียง 5-8% เท่านั้น

 

การชูนโยบายหาเสียงค่าแรงขั้นต่ำ ทุกคนอยู่อย่างหวาดระแวง อีกทั้งยังติดกับดักรายได้ปานกลางเพราะปัญหาไม่เคยแก้ไข ดังนั้น เรื่องตัวเลขค่าจ้างให้เก็บเอาไว้ก่อน แต่ให้เริ่มจากความเป็นจริงว่า ค่าแรง 354 บาทอยู่ได้หรือไม่ แรงงานทั้งในและนอกระบบทุกคนต้องเท่าเทียมกัน และแรงงานนอกระบบต้องมีหลักประกันอย่างชัดเจน คนส่วนใหญ่หลุดจากการเจรจาต่อรองเพราะกฎหมายไม่คุ้มครอง 

 

สาวิทย์กล่าวอีกว่า การสนับสนุนให้เกิดการรวมตัวกันเพื่อสร้างศักยภาพต่อรอง จะเป็นการต่อรองเรื่องค่าจ้างโดยอัตโนมัติ ดังนั้น การเมืองที่จะมากำหนดเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำจึงต้องทบทวนและคิดใหม่ โดยทำลักษณะโครงสร้างค่าจ้างให้ชัด คำถามที่เกิดขึ้นในสถานการณ์การเลือกตั้งเราต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกตั้งว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำทำได้จริงหรือเป็นแค่เพียงฝันไปเรื่อย ตนเห็นว่าขายฝัน เพราะตัวเลขไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงต้องถกเถียงเรื่องภาวะเศรษฐกิจและสังคมให้จบ และกำหนดตัวเลขออกมาให้ครอบคลุมทั้งแรงงานในและนอกระบบ

 

ด้าน สุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง กรรมการสมาคมเครือข่ายแรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แรงงานนอกระบบคือแรงงานที่ไม่ได้อยู่ในภาคการจ้างงานที่เป็นทางการ ปี 2565 คนมีงานทำทั้งสิ้น 39.6 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานนอกระบบ 20.2 ล้านคน ซึ่งค่าจ้างขั้นต่ำไม่คุ้มครอง ที่เห็นได้ชัดคือในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด กลุ่มแรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ ต้องลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวและปรับตัวอย่างมาก เนื่องจากไม่มีรายได้ประจำ ไม่สามารถที่จะฝันเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำได้ อีกทั้งบางอาชีพของแรงงานนอกระบบขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ถ้าการท่องเที่ยวยังไม่กลับมาก็ยากที่จะฟื้น แม้สถานการณ์โควิดจะคลี่คลายแต่หลายอาชีพที่เป็นแรงงานนอกระบบก็ยังไม่ได้กลับมาทั้งหมด

 

“คำถามว่า ค่าแรงขั้นต่ำขายฝันแรงงานไทยหรือไม่ เราอยู่นอกระบบของการคิดค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่ว่าจะประกาศอะไร จะเป็นฝันของใครไม่รู้ แต่ไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐควรทำคือ การคุ้มครองค่าจ้างขั้นต่ำ ค่าจ้างที่เป็นธรรม ต้องคุ้มครองถึงแรงงานนอกระบบกลุ่มที่มีผู้จ้างงานหรือนายจ้างด้วย และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องประกันรายได้กลุ่มคนเหล่านี้ ต้องมีมาตรการส่งเสริมให้มีรายได้ให้เท่าเทียมกับค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานในระบบ” สุนทรีกล่าว

 

ด้าน นภสร ทุ่งสุกใส ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานมีนโยบายที่จะพลิกโฉมตลาดแรงงานไทยในปี 2566 เช่น พัฒนาภาคแรงงานต้องสอดรับกับโลกยุคดิจิทัล สนับสนุนการพัฒนาทุนมนุษย์ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแรงงานนอกระบบ คำนึงถึงความต้องการของสถานประกอบการในประเทศและแรงงาน ได้รับการส่งเสริมด้านรายได้ แรงงานได้รับความคุ้มครองได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความสุขอย่างยั่งยืน

 

นภสรกล่าวต่อไปว่า หากมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศ แน่นอนว่าส่งผลให้อุตสาหกรรมกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในเขตปริมณฑล เพราะไม่มีแรงจูงใจที่จะกระจายการผลิตไปยังจังหวัดที่อยู่ห่างออกไป นอกจากนี้ หากมีปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ก้าวกระโดด/สูงเกินไป ไทยอาจสูญเสียความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ส่งผลให้ราคาสินค้าของไทยในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และผู้ประกอบการอาจต้องปิดกิจการหรือย้ายฐานการผลิตไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า หากปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทุกจังหวัดและปรับแบบก้าวกระโดด

 

“ที่สำคัญอาจจะมีผลกระทบต่อต้นทุนของธุรกิจท้องถิ่นหรือกิจการขนาดเล็ก ส่งผลให้ต้องลดจำนวนคนงานลงหรือปิดกิจการ ส่วนแรงงานจะมีรายจ่ายหรือภาระค่าครองชีพสูงขึ้น มีอำนาจซื้อน้อยลง และมีความสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง ทำให้รายได้ที่มีหรือเงินที่หามาได้ไม่เพียงพอกับการยังชีพ” นภสรกล่าว

 

ขณะที่ยงยุทธกล่าวถึงนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง ว่าการหาเสียงด้วยการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้ค่าจ้างไม่เป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจ และทำให้ต้นทุนการผลิตของประเทศสูงขึ้น ดังนั้น เมื่อพรรคการเมืองนำค่าจ้างมาเป็นนโยบายในการหาเสียงจะเป็นอันตรายต่อประเทศ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดเอาไว้ว่า นโยบายที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วจะต้องทำจริง ซึ่งจะทำให้นายจ้างได้รับผลกระทบ 

 

จากนี้ไปมองว่ารัฐบาลไม่ได้อยู่ยาวเหมือนในอดีต ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่านโยบายค่าแรงจะเปลี่ยนทุก 2 ปี ทั้งนี้ ขอฝากไปยังพรรคการเมืองว่า ควรทำให้ค่าจ้างเป็นไปตามกลไกไตรภาคี เพราะถ้ามีการแทรกแซงจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง ตลาดแรงงานได้รับผลกระทบ

 

ส่วนสาวิทย์กล่าวว่า ปัจจุบันค่าแรงไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายของแรงงาน ดังนั้นควรไปดูที่โครงสร้างมากกว่าการกำหนดเรื่องของตัวเลขอย่างเดียว ควรมาหารือกันว่าค่าจ้างเท่าไรที่แรงงานอยู่ได้ อยู่ได้ปัจจุบันเป็นเท่าไร อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณทุกพรรคที่พยายามเสนอนโยบายค่าแรง แต่ทางปฏิบัติพูดแล้วต้องทำ และต้องทำให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่านโยบายค่าแรงบางยุคไปไม่ถึงจุดที่หาเสียงเอาไว้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising