×

Semiconductor Fund จิ๋วแต่แจ๋ว อัปเทรนด์ดิจิทัล กูรูแนะเน้นลงทุนระยะยาว สร้างผลตอบแทนเด่น

11.12.2021
  • LOADING...
Semiconductor Fund

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • บลจ.ไทยพาณิชย์ เผย Semiconductor การผลิตสู่อนาคตมีมากขึ้น หลังธีมค่อนข้างชัด เมื่อโลกก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ คาด 1-5 ปีข้างหน้า ราคา Semiconductor มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีความต้องการในหลายภาคส่วน
  • บลจ.วี ระบุ ผู้นำ Semiconductor อย่างสหรัฐฯ ยุโรป ไต้หวัน จีน แข่งขันสูง ทุ่มงบวิจัยพัฒนาผลิตชิป เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดที่ทั่วโลกมีความต้องการอย่างร้อนแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 
  • แนะนักลงทุนปรับพอร์ตกองทุน Semiconductor ไว้ที่ 10-15% เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง เน้นลงทุนระยะยาว เนื่องจากมีความผันผวนจากตลาดหุ้นทั่วโลก 

เมื่อโลกได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Semiconductor หรือ ‘ชิป’ เริ่มสูงขึ้น ซึ่งเกิดจากการเติบโตหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เครื่องมือแพทย์ หรือรถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ เป็นต้น ส่งผลให้ตลาดขาดแคลน ‘ชิป’ ไปทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะช่วงไวรัสโควิดเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่พนักงานบริษัททั้งภาครัฐและเอกชนต่างต้อง Work from Home ทำให้เกิด Supply Disruption หยุดชะงักลง

 

ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ (บลจ.ไทยพาณิชย์) ให้ข้อมูลกับทีมข่าว THE STANDARD WEALTH ว่า Semiconductor เป็นอุปกรณ์พื้นฐานของไฟฟ้าเซอร์กิตที่จะนำไปใช้ในการประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมที่เป็นภาคเซอร์วิสการให้บริการ การใช้ภาพถ่าย การใช้วิดีโอ หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ฯลฯ ล้วนแต่ต้องใช้วัสดุพื้นฐานที่เป็น Semiconductor ทั้งสิ้น

 

ทั้งนี้ จึงเชื่อว่าเทรนด์ของการใช้เทคโนโลยีจะทำให้ความต้องการใช้ Semiconductor ในการผลิตมีมากขึ้นต่อไปในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็นธีมที่ค่อนข้างชัดเจนในโลกสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น 1-2 ปี หรือ 3-5 ปีข้างหน้านี้ คาดว่าราคา Semiconductor จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นไปอีก เพราะมีความต้องการในหลายภาคส่วนที่ต้องใช้ จึงถือเป็นธีมหลักในยุคของการใช้เทคโนโลยีนั่นเอง 

 

อย่างไรก็ดี หากมองในเรื่องของ Fundamental ของการขับเคลื่อนเทคโนโลยีในการพัฒนาการเติบโตของโลกยุคดิจิทัล ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการที่จะทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงได้ทุกภาคส่วนและทุกอุตสาหกรรม จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่น่าสนใจในการจัดตั้งกองทุน Semiconductor ซึ่งเป็นธีมการลงทุนทั่วโลก ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะในประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ในประเทศที่มีความเป็นผู้นำ อย่างแถบตะวันตก หรือสหรัฐฯ รวมถึงแถบเอเชีย ญี่ปุ่น หรือยุโรป เป็นต้น 

 

ซึ่ง บลจ.ไทยพาณิชย์ ก็ได้เล็งเห็นถึงธีมนี้เช่นกัน จึงจัดตั้งกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Semiconductor (SCB Semiconductor: SCBSEMI) เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุน เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ VanEck Vectors Semiconductor UCITS ETF (กองทุนหลัก) ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ London Stock Exchange ประเทศอังกฤษ บริหารโดย VanEck Asset Management B.V. และอยู่ภายใต้ UCITS

 

อย่างไรก็ตาม ในยุคเศรษฐกิจใหม่ที่ต้องขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การลงทุนที่ต้องใช้ Semiconductor เป็นหลักถือว่าเทรนด์ที่กำลังเร่งตัว จึงคาดว่าในอนาคตจะมีการเติบโตอย่างแน่นอน แต่ความเสี่ยงก็ย่อมมี นั่นคือเรื่องของราคา หรือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี หากในอนาคตสามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการลดปริมาณของ Semiconductor หรือการใช้เทคโนโลยีที่มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น หรือหากมีการปฏิวัติเทคโนโลยีก็ย่อมจะเป็นความเสี่ยงเช่นกัน 

 

หากนักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในกองทุน Semiconductor ควรเน้นลงทุนในระยะยาวไม่น้อยกว่า 2-3 ปี โดยในพอร์ตควรมีประมาณ 10-15% เนื่องจากเป็นการลงทุนในหุ้นซึ่งมีความผันผวน จึงจำเป็นต้องลงทุนระยะยาวเพื่อให้ได้ดอกออกผล ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการที่โลกใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน หรือในการดำเนินธุรกิจ การรักษาพยาบาล เหล่านี้จะได้ประโยชน์ในหลายด้าน ทั้งที่เป็นผู้ผลิต Semiconductor เอง หรือผู้ใช้ Semiconductor ทั้งหมด 

 

ด้านอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด (บลจ.วี) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการผลิต Semiconductor มีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเทคโนโลยีและระบบห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตสมาร์ทโฟนเซิร์ฟเวอร์ระบบคลาวด์ หรือแม้กระทั่งการผลิตรถยนต์ EV เป็นต้น บวกกับช่วงโควิดมีการ Work from Home ดีมานด์ด้านอิเล็กทรอนิกส์จึงเพิ่มขึ้นไปอีก ขณะที่ Semiconductor มีกำลังการผลิตที่จำกัด ส่งผลให้ ‘ชิป’ ที่สามารถประมวลได้อย่างรวดเร็วขาดแคลนในตลาด

 

ดังนั้นจึงมองว่าน่าจะเป็นจังหวะที่ดีที่จะออกกองทุน Semiconductor โดย บลจ.วี เน้นออกเป็น ETF (Exchange Traded Fund เป็นกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) เป็นลักษณะฟันด์ออฟฟันด์ โดยเน้นไปที่ Semiconductor ของสหรัฐฯ ถือเป็นบริษัทผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาการออกแบบที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขันทั้งด้านไมโครโปรเซสเซอร์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งในปี 2020 บริษัท Semiconductor ในสหรัฐฯ มีสัดส่วนการตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็น 47.2% ของตลาด Semiconductor ทั้งหมด

 

ขณะที่อีกหนึ่งกองทุนเน้นลงทุน Semiconductor ทั่วโลก อย่างไต้หวัน เจ้าแห่งอุตสาหกรรม Semiconductor ซึ่งบริษัท TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company เป็นบริษัทที่ผลิตชิปรายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งในตลาดชิปโลก อีกทั้งรัฐบาลไต้หวันยังให้ความสำคัญในการทุ่มงบวิจัยและพัฒนา Semiconductor อย่างมาก ส่วนยุโรปได้ทุ่มงบในการทำวิจัยและพัฒนา รวมถึงลงทุนสร้างโรงงานสำหรับผลิตชิปที่มีความทันสมัย และจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาชิปจากต่างประเทศ จึงเร่งพัฒนาและต้องการผลิตชิปเพื่อใช้ในประเทศเอง 

 

“หุ้นชิปของสหรัฐฯ จะมีการเติบโตค่อนข้างดี เนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีนโยบายอยากให้บรรดาพวกชิปต่างๆ เข้ามาผลิตในสหรัฐฯ มากขึ้น เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็จะเป็นจุดที่ บลจ.วี เล็งเห็นความสำคัญและเลือกกองทุนที่เน้นชิปที่สหรัฐฯ ขณะที่อีกกองทุนหนึ่งเป็นชิปเมกเกอร์ของทั่วโลกก็จะมีบริษัทใหญ่ในไต้หวัน หรือบริษัทในฝั่งแถบยุโรป เราก็พยายามบาลานซ์ตรงนี้ให้ดูว่ามีบริษัทใหญ่ที่เป็นผู้นำในธุรกิจและมีการเติบโตค่อนข้างดี จึงตัดสินใจเลือกเข้าไปลงทุน”  

 

ส่วนความเสี่ยงของกองทุนประเภทนี้ที่ต้องระวังหลักๆ ก็คือความผันผวนในเรื่องของราคา ซึ่งเหมือนกับกองทุนหุ้นทั่วไป เพราะกองทุน Semiconductor เกี่ยวเนื่องกับบริษัทที่ทำธุรกิจด้าน Semiconductor โดยตรง และอีกประการหนึ่ง หากถึงจุดที่ปัญหา Semiconductor เริ่มคลี่คลายลง อาจจะมีแรงเทขายอยู่บ้าง หุ้นกลุ่มนี้ก็น่าจะปรับตัวลดลงบ้าง 

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในกองทุนประเภทนี้ ต้องเน้น Long Term เนื่องจากเป็นเทรนด์ที่จะมีการนำ ‘ชิป’ มาใช้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไร้คนขับก็ต้องใช้ชิปเพิ่มมากขึ้น หรือ Metaverse โลกเสมือนจริง ที่ล่าสุด Facebook ได้รีแบรนด์เป็น Meta เพราะ Facebook มองว่าโลกในอนาคตจะสามารถเชื่อมต่อกันโดยสร้างโลกเสมือนขึ้นมา

 

ฉะนั้นแล้วสัดส่วนการลงทุน หากนักลงทุนสนใจสามารถจัดพอร์ตกองทุนดังกล่าวได้ประมาณ 10-15% หากรับการลงทุนในหุ้นได้ 100% จริงๆ กองทุนนี้มองว่า 10-15% เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง แม้เซกเตอร์นี้มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีสูง แต่เป็นเซกเตอร์ที่ค่อนข้างแคบต่อการผลิต เพราะฉะนั้นก็จะมีความผันผวนเช่นกัน 

 

อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มธุรกิจกลุ่ม Semiconductor ในอนาคตจะเติบโตค่อนข้างสูงจากเทคโนโลยีต่างๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนโลก จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีผู้คนสนใจลงสู่สนามนี้เป็นจำนวนมาก แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ฉะนั้น การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ควรศึกษาและพิจารณาให้ดีอย่างรอบคอบ เพื่อให้การลงทุนนั้นไม่สูญเปล่าไปนั่นเอง 

 

Semiconductor Fund

 

การเปลี่ยนแปลงของโลกสู่ยุคเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่นำพาไปด้วยดิจิทัล ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Semiconductor หรือ ‘ชิป’ เริ่มสูงขึ้น มีการเติบโตหลายภาคส่วน กองทุน Semiconductor จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต ทีมข่าว THE STANDARD WEALTH ได้จัด 9 อันดับกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา 

 

ทั้งนี้ ผลตอบแทนในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ฉะนั้นแล้วผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนอย่างละเอียดและรอบคอบ

 

ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising