ก.ล.ต. ขยายผลการตรวจสอบโดยกล่าวโทษผู้กระทำความผิด 12 ราย ต่อ DSI กรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงินของ JKN และกรณีขายหุ้น JKN โดยอาศัยข้อมูลภายใน รวมทั้งมีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สิน และห้ามมิให้ออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว กับผู้กระทำผิดกรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงิน 4 ราย
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขยายผลการตรวจสอบโดยกล่าวโทษบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN รวมทั้งอดีตกรรมการและอดีตผู้บริหาร ผู้บริหาร และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวม 12 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีส่งหรือเปิดเผยงบการเงินและแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) โดยมีงบการเงินที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงในสาระสำคัญที่ควรแจ้ง
และกรณีร่วมกันทุจริตและตกแต่งงบการเงินของ JKN ในช่วงปี 2565 ถึงปี 2566 และกรณีขายหุ้น JKN โดยอาศัยข้อมูลภายใน (Insider Trading) ในช่วงปี 2566 รวมทั้งมีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดกรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงิน รวม 4 ราย พร้อมกันนี้ได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
จากการกล่าวโทษดังกล่าว ก.ล.ต. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. อาศัยอำนาจตามความมาตรา 267 พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ได้มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดกรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงิน รวม 4 ราย ได้แก่ (1) นายจักรพงษ์ (2) นางสาวพิมพ์อุมา (3) นางสาวพิสมัย และ (4) นางสาวกมลรัตน์ เป็นเวลา 180 วัน เนื่องจากปรากฏพฤติการณ์การกระทำผิดที่มีลักษณะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้าง
โดยปรากฏมูลค่าความเสียหายจากเงินของบริษัท JKN ที่นำออกไปซื้อลิขสิทธิ์ที่ไม่มีจริง จำนวนประมาณ 557.63 ล้านบาท และจากการเปิดเผยงบการเงินและแบบ 56-1 One Report ที่มีงบการเงินอันเป็นเท็จ ไปประกอบการเสนอขายหุ้นกู้ รุ่น JKN255A ของ JKN เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2566 ได้รับเงินมาอีก 156.60 ล้านบาท รวมมูลค่าความเสียหาย 714.23 ล้านบาท และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าผู้กระทำความผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินออกไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการ ก.ล.ต. ยังมีคำสั่งห้าม (1) นายจักรพงษ์ (2) นางสาวพิมพ์อุมา (3) นางสาวพิสมัย และ (4) นางสาวกมลรัตน์ มิให้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว มีกำหนด 15 วัน โดยหลังจากนี้ ก.ล.ต. จะไปร้องขอต่อศาลอาญาเพื่อออกคำสั่งห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักรต่อไป
อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ชี้แจงถึงสิ่งที่อาจเป็นข้อสงสัยของประชาชนในวงกว้าง รวมทั้งกรณีการสั่งอายัดและห้ามออกนอกราชอาณาจักร หลังจากที่นายจักรพงษ์เดินทางหลบหนีไปแล้ว
ทำไมเพิ่งมาอายัด และห้ามออกนอกราชอาณาจักร?
ก.ล.ต. ชี้แจงว่า ในครั้งที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษ JKN นายจักรพงษ์ และนางสาวพิมพ์อุมา ในเดือนมิถุนายน 2568 ก.ล.ต. ไม่พบว่า นายจักรพงษ์และนางสาวพิมพ์อุมามีพฤติการณ์หลบหนี และไม่พบพฤติการณ์สงสัยว่าจะมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน
โดยนายจักรพงษ์และนางสาวพิมพ์อุมาเดินทางเข้าออกราชอาณาจักรหลายครั้งในช่วงที่ ก.ล.ต. ตรวจสอบการกระทำความผิดดังกล่าว โดยนายจักรพงษ์และนางสาวพิมพ์อุมา มาให้ถ้อยคำและมีหนังสือชี้แจงต่อ ก.ล.ต. ทุกครั้งก่อนที่ ก.ล.ต. จะกล่าวโทษในเดือนมิถุนายน 2568 รวมทั้งนายจักรพงษ์ยังปรากฏตัวในสื่อต่างๆ ทำให้ไม่เข้าเหตุตามมาตรา 267 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ในการมีคำสั่งห้ามออกนอกราชอาณาจักร และมีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินในครั้งก่อน
ทั้งนี้ กระบวนการอายัดทรัพย์สินของ ก.ล.ต. เป็นไปเพื่อป้องกันการยักย้ายถ่ายเทของผู้กระทำความผิด โดยในส่วนของบริษัท JKN เนื่องจากปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายล้มละลาย อยู่ในอำนาจศาลล้มละลายกลาง ซึ่งได้แต่งตั้งบริษัท แกรนท์ ธอนตัน สเปเซียลิสท์ แอ็ดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูของบริษัท ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการและใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นตามกฎหมาย ในการบริหารจัดการและดูแลการดำเนินกิจการของบริษัทในระหว่างที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดย ก.ล.ต. ได้มีการประสานงานกับ บริษัทแกรนท์ ธอนตัน ในเรื่องที่เกี่ยวกับ JKN ภายหลังจากที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ทำแผน
การกล่าวโทษเพิ่มเติมในครั้งนี้ เป็นการขยายผลการตรวจสอบต่อจากที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ทำให้พบพยานหลักฐานเพิ่มเติมในความผิดเรื่องของการทุจริตจากที่เคยกล่าวโทษไปแล้ว และเมื่อปรากฏว่า นายจักรพงษ์ และนางสาวพิมพ์อุมา หลบหนีออกจากราชอาณาจักรแล้ว รวมทั้งพบพฤติการณ์ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน และเป็นคดีที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง จึงเข้าเหตุสั่งยึดอายัดทรัพย์สินและห้ามออกนอกราชอาณาจักร ตามมาตรา 267 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ
การสั่งการออกนอกราชอาณาจักรครอบคลุมบุคคลที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษครั้งนี้ ณ 25 ธันวาคม 2568 มีผู้ร่วมกระทำความผิดรวม 4 ราย ได้ร่วมกันทุจริต โดยเป็นการสั่งการเป็นเวลา 15 วัน และในทางขนาน ก.ล.ต. จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอขยายเวลาการสั่งห้ามออกนอกราชอาณาจักรต่อไป
กรณีมีข่าวว่านายจักรพงษ์นำเงินไปซื้อคริปโต
จากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบว่ามีการนำเงินออกจาก JKN ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนและหุ้นกู้ของ JKN ซึ่งเป็นกรณีที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษในครั้งนี้ แต่ไม่พบเส้นทางเงินที่นำไปซื้อคริปโต
อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ได้ประสานและมีหนังสือแจ้งการดำเนินคดีเรื่องการยักยอกหรือทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอาจเข้าข่ายการฉ้อโกงหรือยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระเป็นความผิดมูลฐาน และความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไปยังสำนักงาน ปปง. ด้วย และพร้อมที่จะประสานความร่วมมือกับสำนักงาน ปปง. ในการติดตามยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป
กระบวนการหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
(1) ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้มีการประสานงานกับพนักงานสอบสวนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเร่งรัดกระบวนการบังคับใช้กฎหมายและช่องทางในการติดตามผู้กระทำความผิดที่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปแล้ว
(2) การห้ามเดินทาง ในเบื้องต้น ก.ล.ต. ได้ประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อให้ดำเนินการตามคำสั่ง เป็นระยะเวลา 15 วัน ซึ่งในทางขนานกัน ก.ล.ต. จะต้องร้องขอต่อศาลเพื่อให้พิจารณาสั่งห้ามการห้ามเดินทางออกนอกประเทศเพิ่มเติม
(3) กรณีการอายัดทรัพย์สิน ก.ล.ต. ได้แจ้งคำสั่งไปยังหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการอายัดทรัพย์สิน เช่น บัญชีเงินฝาก หลักทรัพย์ รถยนต์ ที่ดิน เป็นต้น เป็นระยะเวลา 180 วัน และ ก.ล.ต. สามารถขยายระยะเวลาการอายัดทรัพย์สินได้เพิ่มอีก 180 วัน โดยร้องขอต่อศาล
(4) ในทางขนาน ก.ล.ต. จะร่วมมือกับพนักงานสอบสวนในการเร่งรัดกระบวนการเพื่อส่งฟ้องต่อศาล
ผู้ถูกกล่าวโทษ 12 ราย มีใครบ้าง?
สืบเนื่องจากกรณีที่เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 3 ราย ได้แก่ (1) บริษัท JKN (2) นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ และ (3) นางสาวพิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ ต่อ DSI กรณีร่วมกันกระทำหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จ และ/หรือทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง และไม่ตรงต่อความเป็นจริงในงบการเงินประจำปี 2566 และเอกสารบัญชีสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2567 ของ JKN เพื่อลวงบุคคลใดๆ และนำส่งหรือเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2566 และแบบ 56-1 One Report ที่มีงบการเงินเท็จ
ล่าสุด ก.ล.ต. ได้ขยายผลการตรวจสอบและพบว่า การซื้อขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ของ JKN กับนิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย มีกรรมการและผู้บริหาร* ของ JKN ในขณะเกิดเหตุ ได้แก่ (1) นายจักรพงษ์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (2) นางสาวพิมพ์อุมา ในฐานะกรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการสายงานคอนเทนต์ (3) นางสาวพิสมัย ห่างไธสง ในฐานะกรรมการบริหารและรักษาการรองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี และ (4) นางสาวกมลรัตน์ มงคลครุธ ในฐานะกรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการสายงานขาย ได้ร่วมกันดำเนินการ
ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการซื้อขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่ไม่มีจริงของ JKN โดยพบเส้นทางเงินที่อ้างว่าเป็นการชำระค่าซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ดังกล่าวจาก JKN เป็นเงินประมาณ 557.63 ล้านบาท ได้โอนต่อไปให้กับบุคคลซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นนอมินี (nominee) ของนายจักรพงษ์ เพื่อนำไปซื้อหุ้น JKN และหุ้นกู้ JKN แทนนายจักรพงษ์
อีกทั้ง นายจักรพงษ์และนางสาวพิมพ์อุมา ยังได้รับประโยชน์จากเงินดังกล่าวผ่านการโอนเข้าบัญชีตนเอง เป็นเหตุให้ JKN เสียหาย การกระทำของบุคคลทั้ง 4 ราย ข้างต้น เข้าข่ายเป็นการร่วมกันกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์ของบริษัทเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ JKN ได้รับความเสียหาย และบันทึกบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง หรือไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อลวงบุคคลใดๆ
อันเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง ประกอบมาตรา 89/7 มาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 311 มาตรา 312 มาตรา 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
จากกรณีดังกล่าว JKN ยังได้นำส่งงบการเงินงวดประจำปี 2565 และปี 2566 ซึ่งเป็นงบการเงินที่ได้บันทึกบัญชีเจ้าหนี้ และลูกหนี้กรณีนิติบุคคลในประเทศอันเป็นเท็จ และได้ส่งแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี/รายงานประจำปี 2565 และปี 2566 อันเป็นเท็จต่อ ก.ล.ต. รวมทั้งได้เปิดเผยหรือเผยแพร่งบการเงินเท็จดังกล่าวต่อประชาชนทั่วไปผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ระบบ SETLink) โดยนายจักรพงษ์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ได้ลงนามรับรองงบการเงินและข้อมูลดังกล่าว อันเป็นความผิดตามมาตรา 281/10 และตามมาตรา 281/10 ประกอบมาตรา 300 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ แล้วแต่กรณี
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า บุคคล 9 ราย มีการขายหุ้น JKN โดยอาศัยข้อมูลภายใน และยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ได้แก่ (1) นายจักรพงษ์ (กรรมการ/ผู้บริหารของ JKN) ได้ใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ (2) นายอชิระ สุธีสถาพร (บิดาของนายจักรพงษ์) (3) นางสาวปาริชาติ เนียมหอม และ (4) นางอริยพร ไทยจินดา ขายหุ้น JKN เพื่อหลีกเลี่ยงผลขาดทุน โดยอาศัยข้อมูลภายในเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ รุ่น JKN239A ของ JKN ซึ่งได้เปิดเผยสารสนเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 อันเป็นข้อมูลที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชนเป็นการทั่วไปซึ่งเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหรือมูลค่า ของหุ้น JKN โดยมี (5) นายกฤติพัฒน์ ศรีเทพเอี่ยม (ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของ JKN) ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายจักรพงษ์ในการส่งคำสั่งขายหุ้น JKN ในบัญชีของนายอชิระ นางสาวปาริชาติและนางอริยพร
การกระทำข้างต้นของนายจักรพงษ์ เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 242 (1) ประกอบมาตรา 243 (1) แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ โดยมีนายอชิระและนายกฤติพัฒน์ ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายจักรพงษ์ในการใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น JKN ตามมาตรา 242 ประกอบมาตรา 315 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ และนางสาวปาริชาติและนางอริยพร ซึ่งได้ยินยอมให้นายจักรพงษ์ใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และบัญชีธนาคารที่ใช้ชำระค่าซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อปิดบังตัวตนของนายจักรพงษ์ เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 297 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ
ในกรณีของ (6) นายพรชัย มงคลครุธ ซึ่งเป็นน้องชายของ (7) นางสาวกมลรัตน์ มงคลครุธ (กรรมการ/ผู้บริหารของ JKN) มีพฤติกรรมการขายหุ้น JKN ที่ผิดไปจากปกติวิสัยของตน ในช่วงที่นางสาวกมลรัตน์ ได้รับทราบข้อมูลภายในเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้รุ่น JKN239A แล้ว จึงน่าเชื่อว่า นายพรชัยรับทราบข้อมูลภายในดังกล่าวจากนางสาวกมลรัตน์ การกระทำดังกล่าวของนายพรชัยเข้าข่ายเป็นความผิด ตามมาตรา 242 (1) ประกอบมาตรา 244 (4) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ และนางสาวกมลรัตน์ เข้าข่ายเป็นความผิดกรณีบอกกล่าวข้อมูลภายในแก่นายพรชัย ตามมาตรา 242 (2) ประกอบ 243 (1) แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ
อีกทั้ง จากการตรวจสอบพบบุคคลซึ่งน่าเชื่อว่าได้ยินยอมให้นายจักรพงษ์ใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และบัญชีธนาคารที่ใช้ชำระค่าซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อปิดบังตัวตนของนายจักรพงษ์ อีก 2 ราย ได้แก่ (8) นางสาวมลฤดี เอี่ยมโอฬาร และ (9) นายเชฎฐา จิตรมณี ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 297 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ
การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้ผู้ถูกกล่าวโทษรายนายจักรพงษ์ นางสาวพิมพ์อุมา นางสาวพิสมัย และนางสาวกมลรัตน์ เข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจและไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี นับตั้งแต่วันที่ ก.ล.ต. มีหนังสือกล่าวโทษบุคคลดังกล่าวต่อ DSI
ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว


