สำนักงาน ก.ล.ต. ใช้ Big Data เจาะพฤติกรรมการลงทุนกองทุนรวมของผู้ลงทุนแต่ละ Generation หวังต่อยอดพัฒนาตลาดทุนไทย โดยงานวิจัยล่าสุดพบว่า Gen X และ Gen Y นิยมลงทุนผ่าน กองทุนรวม เพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่ม Baby Boomer ยังมีมูลค่าลงทุนผ่านกองทุนรวมมากที่สุด รวมทั้งจำนวนผู้ลงทุนบุคคลในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น สวนทางกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ฝ่ายวิจัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยแพร่งานวิจัยฉบับล่าสุด เรื่องภาพรวมผู้ลงทุนและมิติการเข้าถึงการลงทุนกองทุนรวม ซึ่งมุ่งศึกษาพฤติกรรมการลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของการถือครองหน่วยลงทุนในกองทุนรวมของผู้ลงทุนบุคคล ตั้งแต่ปี 2562 โดยจำแนกลักษณะของผู้ลงทุนในด้านอายุ เพศ และถิ่นที่อยู่ ทำให้สามารถมองเห็นภาพรวมการลงทุนผ่านกองทุนรวมของทั้งประเทศ และนำไปประยุกต์และรองรับนโยบายในการขยายฐาน และส่งเสริมความรู้แก่ผู้ลงทุนแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- อัปเดต 7 หุ้น พอร์ต เซียนฮง สถาพร งามเรืองพงศ์ มูลค่า 6.14 พันล้านบาท
- เจาะ 10 หุ้นมาร์เก็ตแคป เกิน 1 แสนล้าน ราคาร่วงแรงมากสุดนับจากต้นปี 2565
งานวิจัยระบุว่า ณ สิ้นปี 2563 มีจำนวนบัญชีในกองทุนรวมทั้งสิ้น 8.3 ล้านบัญชี (เพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบัญชีจากปี 2562 ที่มี 7.1 ล้านบัญชี) มีจำนวนผู้ลงทุนบุคคลทั้งสิ้น 1.5 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 3.2 หมื่นคนจากปี 2562 ที่มี 1.48 ล้านคน) และส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (58% เป็นผู้หญิง 42% เป็นผู้ชาย)
หากพิจารณาสัดส่วนตามภูมิภาคพบว่า 63% อยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ลดลง 2% จากปี 2562 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 65%) แสดงให้เห็นว่าสัดส่วนผู้ลงทุนบุคคลในพื้นที่ต่างจังหวัดมีการขยายตัวสูงขึ้น
จากข้อมูลของแต่ละ Generation ที่ลงทุนในกองทุนรวม ในการศึกษานี้ได้แบ่งผู้ลงทุนบุคคลตาม Generation ทั้งหมด 5 Generations ด้วยกัน ได้แก่ Post War, Baby Boomer, X, Y และ Z
ในด้านจำนวนผู้ลงทุนพบว่า Gen Y มีสัดส่วนมากที่สุดคือ 36% ของผู้ลงทุนในกองทุนรวมทั้งหมด โดยเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ลงทุนสูงที่สุดในปี 2556-2563 รองลงมาคือ Gen X มีสัดส่วน 35% ของผู้ลงทุนในกองทุนรวมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม Baby Boomer มีแนวโน้มลงทุนลดลงในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา จาก 33% ในปี 2556 ลดลงเหลือ 24% ในปี 2563
ในด้านของมูลค่าการลงทุนพบว่า กว่าครึ่งของมูลค่าเงินลงทุนเป็นของ Baby Boomer ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการสะสมเงินลงทุนที่สูงกว่า Gen X และ Y
นอกจากนี้ การเข้าถึงกองทุนรวมมีความสำคัญต่อการพัฒนาตลาดทุนไทย เพราะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าประชากรไทยสะสมเงินลงทุนผ่านตลาดทุนมากน้อยเพียงใด ข้อมูล Penetration Rate ที่เปรียบเทียบจำนวนผู้ลงทุนบุคคลที่ลงทุนในกองทุนรวมกับประชากรกลุ่มต่างๆ ในประเทศไทยจะช่วยสนับสนุนนโยบายการขยายฐานผู้ลงทุนต่อไปในอนาคต
โดยการศึกษานี้ได้จัดแบ่งการเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมเป็น 3 มิติ ดังนี้
- การเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมจำแนกตามกลุ่มประชากร เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของประชากรกลุ่มต่างๆ ที่มีโอกาสเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวม โดยเปรียบเทียบจำนวนผู้ลงทุนบุคคลในกองทุนรวมกับจำนวนประชากรผู้มีงานทำ จำนวนทั้งสิ้น 37 ล้านคน พบว่า Penetration Rate เพิ่มขึ้นจาก 3.9% ในปี 2562 เป็น 4% ในปี 2563
หากเปรียบเทียบกับจำนวนแรงงานในระบบ 15 ล้านคน พบว่า Penetration Rate อยู่ที่ 10% ซึ่งเห็นได้ว่าอัตราการเข้าลงทุนในกองทุนรวมยังอยู่ในระดับน้อย จึงมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก หรือหากเปรียบเทียบกับจำนวนผู้เสียภาษีทั้งหมด 4 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังในการออมและเป็นเป้าหมายที่จะขยายฐานผู้ลงทุน พบว่า Penetration Rate อยู่ที่ 34.4% ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของผู้เสียภาษี จึงเป็น Target Group ในการผลักดันให้เข้ามาลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้นในอนาคต
- การเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมจำแนกตามภูมิภาค เพื่อศึกษาว่าพื้นที่ใดมีการเติบโตของผู้ลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งในภาพรวมจำนวนผู้ลงทุนในกองทุนรวมยังมีทิศทางเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เฉลี่ย 9% ต่อปี ในช่วงปี 2556-2563 โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงสุดเฉลี่ย 24% ต่อปี ภาคตะวันออกและภาคเหนือมีการเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี ภาคกลางเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ภาคใต้เติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี ในขณะที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฐานผู้ลงทุนค่อนข้างสูง ดังนั้นการเติบโตของผู้ลงทุนจึงน้อยกว่าภูมิภาคอื่นๆ เฉลี่ย 7% ต่อปี จากมิติดังกล่าวแสดงให้เห็นศักยภาพการเข้าถึงกองทุนรวมในภูมิภาคที่มีการเติบโตที่เร็ว สะท้อนถึงความจำเป็นในการขยายฐานผู้ลงทุนนอกเหนือจากพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล
- การเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมจำแนกตาม Generation เพื่อศึกษาว่ากลุ่ม Generation ใดให้ความสนใจในการลงทุนในกองทุนรวม เมื่อทำการวิเคราะห์ Penetration Rate ตามกลุ่มของ Generation ณ สิ้นปี 2563 จะเห็นได้ว่ากลุ่มที่มี Penetration Rate สูงสุดคือ Gen X และ Gen Y ตามลำดับ ซึ่งอัตราการเข้ามาลงทุนกองทุนรวมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา โดยสิ่งที่น่าสนใจคืออัตราการเติบโตของ Penetration Rate ใน Gen Y นั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว จากปี 2556 จนถึง 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 เท่า
จากผลการศึกษา Big Data นี้แสดงให้เห็นว่า Gen X และ Gen Y คืออนาคตสำคัญของตลาดทุนมีแนวโน้มในการสะสมเงินลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Gen Y ที่มีการเพิ่มจำนวนของผู้ลงทุนที่รวดเร็ว จึงเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและเป็นเป้าหมายสำคัญของ ก.ล.ต. ที่จะส่งเสริมการลงทุนโดยเฉพาะในด้านการให้ความรู้ทางการเงินและการลงทุนที่เหมาะสมกับอายุ และเป็นเป้าหมายในการขยายฐานต่อไป เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนรุ่นใหม่ให้เข้าถึงตลาดทุนได้มากขึ้น และพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างมีประสิทธิภาพ