บ่ายวันหนึ่งปลายฤดูฝน THE STANDARD POP นั่งคุยกับ ฌอห์ณ จินดาโชติ นักแสดงหนุ่มที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมานาน และถ้านับจากช่วงพีกของความสำเร็จจากหนังสือ Present Perfect เพราะวันนี้…ดีที่สุดแล้ว (2557) รวมถึงความสำเร็จด้านการแสดงจากละคร เล่ห์รตี (2558) น่าสนใจว่าเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ฌอห์ณมองตัวเองอย่างไร เวลาที่ผ่านไปเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเขาบ้าง
ยิ่งช่วงปลายปีนี้ที่มีละครออกอากาศพร้อมๆ กัน 2 เรื่อง ลูกไม้ลายสนธยา และ บาปรัก สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าเขายังเป็นนักแสดงที่ยืนระยะอยู่ในวงการได้อย่างน่าสนใจ อะไรคือความคิดเบื้องหลังการทำงานของเขา ฌอห์ณมีคำตอบมาเล่าให้ฟัง
ช่วงนี้เหมือนฌอห์ณจะมีงานละครหลายเรื่อง ทั้ง ลูกไม้ลายสนธยา ที่เพิ่งจบไป กับ บาปรัก ที่กำลังเข้มข้น มีเกณฑ์การรับงานแสดงอย่างไรบ้าง
เมื่อก่อนผมเคยรับ 4 เรื่องต่อปี แต่ไม่ไหวแล้ว ร่างกายพัง ชีวิตส่วนตัวก็แย่ไปหมด เพราะ 7 วันเราอยู่กับกองละครทั้งหมดเลย ไม่มีเวลาอยู่กับตัวเอง ตอนนี้ก็เลยปรับ มาตรฐานที่ 2-3 เรื่องต่อปี ซึ่ง 3 เรื่องคือเยอะที่สุดแล้ว อีกอย่างละครแต่ละเรื่องก็ใช้เวลาไม่เท่ากัน อย่าง ลูกไม้ลายสนธยา ที่ถ่ายไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วก็ใช้เวลา 8-9 เดือน ส่วนละครมาตรฐานทั่วไปคือ 6-8 เดือน เพราะฉะนั้น 6-8 เดือนคุณอยู่ตรงนั้นเลย ไปไหนไม่ได้ เขาถึงบอกว่าเล่นละครเรื่องหนึ่งมันคือการซื้อลอตเตอรี่ ซื้อไปเหมาแผง 3 ชุดไม่ได้เลยก็เท่ากับปีนั้นคือหายไปเลย
ถ้าอย่างนั้นที่ผ่านมาถูกลอตเตอรี่บ่อยไหม
ไม่ได้ชุดใหญ่ทุกปี แต่ได้เรื่อยๆ ด้วยความที่ผมเคยได้ชุดใหญ่มาแล้วไง (ละคร เล่ห์รตี รับบท เสกข์ สุทธกานต์) ผมว่าถ้าเราถูกรางวัลตลอดมันจะทำให้เราเสียนิสัยนะ มันเหมือนซื้อแล้วหวังผล แต่การที่เคยได้ชุดใหญ่แล้วไม่ได้บ้าง ได้ชุดเล็กบ้าง มันทำให้ผมคิดว่าผมซื้อเพราะชอบตัวเลขนี้จริงๆ ไม่ได้ซื้อเพราะหวังผล บางครั้งก็ซื้อเพราะอยากเล่นเรื่องนี้
ที่ผ่านมาผมพยายามใช้กฎ 3 ข้ออย่างที่ พี่ป้อน-นิพนธ์ ผิวเณร (ผู้บริหารช่อง One) เคยสอนไว้ว่าใน 1 ปีเราต้องมี 3 เป้าหมาย หนึ่ง ละครที่ได้เงิน สอง ละครที่คนจะจดจำ และสาม ละครที่ได้พัฒนาตัวเอง ถ้าปีหนึ่งเราได้ 3 เรื่องนี้ก็นับเป็นโกลที่สำเร็จ
ในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักแสดงต้องปรับตัวตามอย่างไรบ้าง
ก็ต้องทำความเข้าใจว่าทุกปีผู้บริโภคเปลี่ยนไปตลอดเวลา เราไม่รู้เลยว่าอยู่ดีๆ เทรนด์ปีนี้ บอสวศิน จาก เมีย 2018 จะมา ก่อนหน้านี้ยังเป็น โป๊ป ธนวรรธน์ จาก บุพเพสันนิวาส อยู่เลย มันเร็วมาก
อีกอย่างสมัยนี้นักแสดงก็ต้องช่วยกันในเรื่องพีอาร์ด้วย อย่างเวลาที่ลงโซเชียลต่างๆ ก็ต้องเลือกว่าคอนเทนต์อะไรที่คนสนใจ เราจะเลือกฉากไหนมาตัดเป็นวิดีโอให้คนสนใจละครตามไปด้วย ในพาร์ตละคร ผมกับทีมละครก็มาช่วยกันคิดคอนเทนต์ หรืออย่างโซเชียลมีเดียของผมเองก็จะเลือกคอนเทนต์ที่อธิบายให้คนดูรู้รายละเอียดของเรื่องด้วย เพราะผมเองก็น่าจะตอบได้ดีที่สุดเท่าที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวละคร อย่างเช่น ลูกไม้ลายสนธยา มีคนมาถามเรื่องไตรภูมิพระร่วง ผมก็ต้องตอบได้ หาหนังสือแนะนำให้เขาไปอ่านต่อได้ หน้าที่ของนักแสดงคือต้องรู้ด้วยว่าตัวละครเราคืออะไร ต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวละครของตัวเองด้วย
บาปรัก ตอนนี้กำลังเข้มข้นมาก ละครเรื่องนี้ท้าทายฌอห์ณอย่างไรบ้าง
บาปรัก เป็นละครที่ถ่ายไปออนแอร์ไป จะมีบทมาก่อนประมาณ 50% แล้วบทที่เหลือจะค่อยๆ ปรับไปตามฟีดแบ็กคนดู ซึ่งข้อดีคือทำให้เรารู้ว่าจะแก้หรือเพิ่มพาร์ตไหนเข้าไป ส่วนข้อเสียคือนักแสดงจะกำหนดทิศทางตัวละครยากมาก ผมเลยเข้าใจว่าทำไมต้องใช้นักแสดงรุ่นใหญ่เยอะ เพราะเขาต้องการคนที่ใช้เวลาน้อยในการทำงาน ผมเองก็น่าจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในเรื่อง มันยาก แต่ผมชอบมาก เหมือนโดนซื้อตัวไปเรียนวิชา เป็นประสบการณ์ชั้นเลิศ เวลามีคนถามว่านางเอกคือใคร ผมภูมิใจมากที่ตอบว่า กบ สุวนันท์ แล้วนักแสดงทุกคนล้วนเคยเล่นกับพี่สาวผมอยู่แล้ว (พลอย จินดาโชติ) มันก็จะมีความเกี่ยวข้องที่พี่ๆ เขาจะเอ็นดูเรา แต่ยิ่งเกี่ยวข้อง ผมก็ยิ่งต้องทำการบ้านหนักขึ้นเป็นสองเท่า
ใน บาปรัก คุณต้องทำการบ้านกับตัวละคร ตะวัน อย่างไรบ้าง
บาปรัก ผมรับบทเป็นผู้ชายขายตัว ผู้ใหญ่เขามองว่าผมเล่นเป็นคนดีเยอะแล้ว ลองเล่นเป็นตัวละครที่มีอาชีพนี้ดู อย่าง ปีกทอง ที่ผมเคยเล่นเป็นตัวละครที่ไม่ดีชัดเจน ได้จากอีกคนแล้วไปเอาจากอีกคนต่อ แต่กับ ตะวัน ใน บาปรัก เขาปูเรื่องมาเลยว่าตะวันมีอาชีพหลักเป็นนักศิลปะบำบัด แต่แม่เป็นโรคไตที่ต้องใช้เงินรักษา มันจะเล่าด้วยมุมมองของเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องขายตัว ทุกครั้งที่ทำงานเสร็จเขาก็จะมีความเศร้า มีความรู้สึกผิดในจิตใจ
ตะวันเป็นตัวละครที่ใสสำหรับผม เขารับข้อมูลว่าพี่วิลลี่ แมคอินทอช กำลังทำร้ายจิตใจภรรยา กำลังขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อหย่ากัน เขาแค่เข้าไปรักษาจิตใจผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเขาเองก็เผลอใจไปรัก ขณะเดียวกันผู้หญิงก็รักเขาด้วยเหมือนกัน แต่ดาร์กไซด์คือทุกตัวละครจะมีบาปของตัวเองอยู่ ตะวันเองก็ไม่เคยบอกนางเอกว่าทำอาชีพอะไรนอกเหนือจากอาชีพปกติ
ก่อนรับบทนี้ผมมีการบ้านพิเศษเพื่อทำความเข้าใจเรื่องการขายบริการ เปลี่ยนทัศนคติตัวเองใหม่ ผมได้ไปคุยกับคนที่ทำอาชีพนี้จริงๆ ซึ่งมันทำให้ผมเข้าใจว่าบางคนก็มีความสุขดีที่ทำ บางคนไม่มีความสุขเลย บางคนก็ทำเพื่อเงิน ผมเลยต้องพยายามหาแอตติจูดที่มันเกี่ยวข้องกับตัวละครมากที่สุด ซึ่งมันคือการไม่แอนตี้สิ่งที่ทำ แล้วเวลาทำเราก็ต้องทรีตเขาอย่างดีที่สุดเหมือนมีลูกค้ามาตัดผมหรือนวดหน้า ถ้าเราทำให้เขาดี เขาก็จะกลับมาทำกับเราอีก ตัวละครต้องมีแอตติจูดแบบนั้น
คือมันเป็นอาชีพสีเทา แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่ทำจะเป็นคนไม่ดี ผู้ใหญ่ในช่องก็บอกผมเสมอว่าแม้แต่อาชีพที่มีเกียรติหรือมีหน้ามีตาในสังคมก็ยังมีคนไม่ดีอยู่นะ ฉะนั้นเราต้องคิดแบบแฟร์ๆ ว่าเราอาจจะทำอาชีพที่ไม่ดีนัก แต่ถ้าเราก็ดูแลตัวเองและคนในครอบครัวเราได้ดี ไม่ได้ทำร้ายสังคม ก็ต้องภูมิใจว่าเรายังเป็นคนดีอยู่
คิดว่าคนดูจะได้อะไรจากละครเรื่องนี้
ต้องยอมรับว่าละคร เมีย 2018 ก่อนหน้าเรื่องนี้กระแสดีมาก ทิศทางโครงเรื่องมันอรรถรสเดียวกับ บาปรัก และนี่เป็นครั้งแรกที่พี่กบ สุวนันท์ รับบทเป็นตัวละครที่ลุกขึ้นมาสู้ ปกติเขาจะเป็นนางเอกเจ้าน้ำตาที่ถูกกระทำตลอด 27 ปีของการทำงานกับช่อง 7 ของพี่กบ ความน่าสนใจคือเขาไม่ได้สู้ด้วยกำลัง แต่สู้ด้วยกฎหมาย ผมว่า บาปรัก น่าจะเป็นเรื่องแรกๆ ของละครไทยที่เล่าเรื่องด้วยกฎหมาย มีนักกฎหมายมาร่วมเขียนบท พี่ป้อน-นิพนธ์ ผิวเณร กับพี่บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ เขามองว่าธีมผัวเมียมันเป็นเรื่องที่ได้ยินกันบ่อย แต่คนทั่วไปอาจจะไม่ได้รู้ลึกว่าข้อกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับสามีภรรยามีอะไรบ้าง ซึ่งคนดูก็จะได้รับรู้เรื่องข้อกฎหมายเหล่านี้ด้วย
และเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นบทในหน้ากระดาษที่ 2 ตอนเต็มๆ อยู่ในศาล บทพูดทนายยาวมากๆ มีการพลิกไปพลิกมา มีการหยิบหลักฐานมางัดกัน อย่างผมเองก็มีหลายเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น โทษของการกระทืบภายในช้ำ ไม่เห็นบาดแผลภายนอก จะเสียแค่ค่าปรับ แต่ถ้าโดนตบเลือดตกยางออกสามารถฟ้องร้องคดีได้ ในเรื่องพี่วิลลี่มีน้องชายเป็นทนาย เขาจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้คดีเสียเปรียบ หรืออย่างพี่กบ สุวนันท์ ถ้าเขาโดนตบก็จะอยู่เฉยๆ ไม่พูดจายั่วยุให้เกิดบันดาลโทสะ เพื่อให้กล้องวงจรปิดเก็บภาพไว้เป็นหลักฐานเอาไปใช้ในชั้นศาลได้ ผมว่าเรื่องนี้คนดูน่าจะได้อะไรเยอะมาก เพราะเราไม่ได้เน้นเรื่องเซ็กซ์หรือเรื่องผัวเมีย แต่เน้นเรื่องอยู่กันอย่างไรให้พ้นภัยช่องโหว่ของกฎหมาย
ถ้าเทียบกับตัวละคร เหมริรัญญ์ ใน ลูกไม้ลายสนธยา ที่เพิ่งจบไป ดูเหมือนว่าคาแรกเตอร์ ตะวัน ในละคร บาปรัก เป็นคู่ตรงข้ามเลยก็ว่าได้ (ลูกไม้ลายสนธยา เป็นละครความรักต่างมิติ ฌอห์ณรับบท เหมหิรัญญ์ มนุษย์ในอุตรกุรุทวีปที่ไม่เคยเจ็บป่วย มีอายุขัย 1,000 ปี และเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ)
ลูกไม้ลายสนธยา เป็นละครที่ไม่มีเรเฟอเรนซ์ในการเล่นให้ผมเลย ทำให้ไม่รู้จะศึกษาจากอะไร คือผมอยู่กับความเชื่อล้วนๆ เลย เชื่อว่าภพภูมินี้มีอยู่จริง อุตรกุรุทวีปมีอยู่จริง ผมก็เลยเข้าวัดบ่อยๆ คุยกับพระ ซึ่งท่านก็จะบอกว่าทุกครั้งที่มีการบวงสรวงหรือสวดมนต์ใหญ่จะมีการเรียกชื่อเทพภพภูมินี้เข้ามาอยู่ในมนต์พิธีด้วยเสมอ ตอนแรกผมไม่เชื่อ จนมีอยู่วันหนึ่งผมไปวัดท่าไม้ แล้วหลวงพี่ก็สวดเชิญอุตรกุรุทวีปเข้ามาในมนต์พิธีนี้ด้วยเถิด ผมยังตกใจเลยว่า เฮ้ย มีจริงว่ะ มันทำให้เราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำอยู่เขามีตัวตนอยู่จริง
เวลาเล่นเป็นเหมหิรัญญ์ ตัวละครนี้มันบริสุทธิ์มาก มันเหมือนเราล้างใจ เพราะเวลาเล่นเรื่องนี้ ผมพยายามจะไม่เอาทุกข์หรือปัญหาอะไรไปด้วยเลย ละครรักโรแมนติกมีเยอะ แต่ละครเรื่องนี้พูดเรื่องศาสนา ซึ่งผมว่ามันเป็นการทำงานที่แปลกและใหม่มาก
ถ้าไม่มีเรเฟอเรนซ์ในการแสดงบทเหมหิรัญญ์ นอกจากการไปคุยกับพระ คุณเตรียมตัวกับบทนี้อย่างไร
ผมดู Meet Joe Black ดูไปเกิน 7 รอบแล้ว ยิ่งดูก็เหมือนยิ่งขุดเจอรายละเอียดที่เรายังไม่เคยเห็นไปเรื่อยๆ ดูไปจนจำได้ทุกฉาก ทุกครั้งที่ผมหลงทางจะกลับไปดู Meet Joe Black ผมอยากรู้ว่าแบรด พิตต์ คิดอะไร แล้วเขาไม่ได้เล่นเยอะ ไม่ได้เล่นเอฟเฟกต์อะไรเลย บทพูดเขาน้อยมาก เวลาผมคุยกับคนเบื้องหลังด้วยกัน เขาจะบอกกันว่าฉากที่แบรดเล่นละเอียดที่สุดคือฉากเลิฟซีน เขาเล่นแล้วรู้สึกว่าเหมือนเอาเด็กประถมไปมีอะไรด้วย มันเนิร์ด มันละมุนละไม แค่ดีเทลการแกะกระดุมที่ทำไม่เป็นแล้วให้ผู้หญิงแกะให้ ผมรู้สึกว่านี่คือความเล่นน้อยแต่ได้มาก
แต่ผมกลับชอบแบรดตอนที่เล่น Ocean’s Eleven ซึ่งตอนนั้นเขาเล่นเป็นมือขวาของจอร์จ คลูนีย์ แต่ความเจ๋งคือเขาเล่นได้โดยไม่โดนจอร์จกลบ ขณะเดียวกันเขาก็เล่นโดยไม่ไปกลบจอร์จ เขาทำให้เรารู้สึกว่าอยากให้ตัวละครสองตัวนี้อยู่ด้วยกัน ประสบการณ์การแสดงของผมอาจจะยังไม่เยอะมาก แต่ผมรู้สึกว่าการเล่นโดยที่เราจะไม่ตายแล้วยังถนอมตัวละครที่เล่นกับเราเอาไว้ด้วย การแชร์ซีนซึ่งกันและกันมันยากกว่า
ฌอห์ณพูดถึงพี่พลอยหลายครั้ง อยากรู้ว่าพี่น้องที่ทำงานในวงการบันเทิงเขาคุยอะไรกัน
เราไม่ค่อยคุยเล่นกันน่ะครับ พี่พลอยเขาแตกแขนงกว่า ประสบการณ์สูงกว่าผมเยอะ อย่างตอนที่เล่น ลูกไม้ลายสนธยา ช่วงอีพีแรกๆ เขาบอกให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเป็นพระไว้เยอะๆ เวลาพูดให้เก็บไม้เก็บมือ อย่างผมที่ปกติเป็นคนพูดแล้วมือไม้ออกตลอดก็จะใช้วิธีเอามือไพล่หลังไว้ให้ดูเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว พี่พลอยบอกเสมอว่าภาษากายสำคัญมาก น้ำเสียง เทมโปในการพูดสำคัญ การใช้สายตา อย่างตอนเล่นเรื่อง ลูกไม้ลายสนธยา ตอนแรกๆ ผมแทบไม่ได้พูดอะไรเลย แค่มอง ยิ้ม แล้วมันจะมีความเอื้อนเอ่ยที่ค่อยๆ พูด การที่ผมนึกถึงตอนเป็นพระก็ช่วยได้มาก เพราะมันสงบไปทุกอย่าง
ทุกครั้งพี่พลอยจะช่วยหาเรเฟอเรนซ์ที่ใกล้เคียงชีวิตจริงของเรา อย่างบางฉากพี่พลอยแนะนำให้นึกถึงตอนโกหกแม่แล้วแม่ไม่โกรธ แต่ผมเองกลับยิ่งรู้สึกผิด ก็เป็นเรเฟอเรนซ์ที่ทำให้เราเอาไปใช้ในการแสดงได้
ผมคุยกับพี่พลอยตลอด เวลาดูหนังพี่พลอยจะบอกให้ดูดีๆ ฝรั่งมันไม่ได้เล่นชั้นเดียว มันจะเล่น 3-4 ชั้น แล้วแต่ละเทกเราจะรู้สึกไม่เหมือนเดิม เวลาไปดูหนังเราก็จะคุยกันเรื่องการแสดง อย่างผมเองไปดูหนังสักเรื่อง รอบแรกดูเอาบันเทิง รอบ 2-3 ไปดูเจาะแล้ว อย่างเรื่อง Avengers: Infinity War ทุกคนจะบอกให้ไปดูโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ คือเขาเล่นมีมิติมาก เวลาเล่นกับสไปเดอร์แมน (รับบทโดย ทอม ฮอลแลนด์) ทุกครั้งที่เขากอด เขาเล่นเหมือนพ่อได้กอดลูก แต่เสี้ยววินาทีเท่านั้นครับ เขาจะเล่นแบบ เออๆ ไปได้แล้ว เราจะรู้สึกว่าพื้นฐานโทนี สตาร์ก เป็นคนอบอุ่นมากๆ กับความรู้สึกที่เขามีให้เด็กคนนี้
พี่พลอยจะแนะนำให้ดูการแสดงของตัวละครต่างๆ อย่าง ดร.สเตรนจ์ (รับบทโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์) เขาใช้เสียงเป็น เพราะเคยเป็นนักพากย์สารคดีมาก่อน แล้วแต่ละเรื่องเขาจะเล่นต่าง ผมกับพี่พลอยจะคุยกันเรื่องนี้ตลอด เวลาดูหนังมาร์เวลจะไม่ได้ดูเพื่อความบันเทิงเลย แต่เราจะหารายละเอียดที่เจ๋งๆ เหล่านี้มาคุยกัน
27 ตุลาคมนี้ ฌอห์ณจะอายุ 30 ปี คุณเตรียมตัวเตรียมใจไว้อย่างไรบ้าง
ไม่กล้าแตะเลยนะ (หัวเราะ) ทุกวันนี้นักแสดงหน้าใหม่ๆ ที่เข้ามาคืออายุต่างจากผมเป็นสิบปีแล้วครับ ที่น่ากลัวคือยิ่งเราอายุมากขึ้น ความคิดของคนที่ทำงานกับเราหรือตัดสินเรา มาตรฐานที่เขามองเราจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่ายังโตไม่ทันเวลาที่ผ่านไปเลย ทั้งวุฒิภาวะ ทั้งฝีมือการแสดง ผมมีความตั้งใจจะไปให้ไกลกว่านี้ เพราะสิ่งที่ทำให้ผมอยู่ต่อไปได้คือความไว้วางใจในผลงาน ทุกวันนี้ผู้ว่าจ้างเราเขาไม่ได้จ้างจากความป๊อปปูลาร์หรือความหล่อ
เมื่อก่อนเขาจะบอกว่าอย่าเป็นตัวเองมากนัก แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเป็นตัวเอง เมื่อก่อนผมอาจจะถูกเหลามาว่าเป็นตัวเองก็ดี แต่บางอย่างก็ต้องเก็บๆ ไว้บ้าง แต่พอยิ่งโต ผมกลับรู้ว่าการเป็นตัวเองมันเป็นสิ่งที่สำคัญ เวลามันจะคัดกรองให้คนเข้าใจและเห็นว่าเราเป็นแบบนี้ จะไม่มีการตั้งคำถามว่าทำไมผมไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ เพราะเขาจะรู้ว่าผมเป็นคนแบบนี้ ทำอะไรได้ดี หรือทำอะไรได้ไม่ดีนัก
ความคิดเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ฌอห์ณในวัย 25 และ 30
ตอนอายุ 25 ผมเพิ่งมาด้วยกระแสละคร ตอนนั้นผมคิดเลยว่ากูจะเป็นนักแสดงคุณภาพ คุณภาพสุดๆ แล้วยังอยู่ในกระแสนิยมให้ได้ แต่วันนี้เปลี่ยนไป ผมไม่ได้มองว่าจะเป็นนักแสดงป๊อปปูลาร์แล้ว เราโตขึ้น เราไม่ได้อยากอยู่ในกระแสนิยมแบบนั้นแล้ว แต่อยากอยู่ในขอบเขตของคุณภาพมากกว่า อย่างพี่นก สินจัย เขาก็ไม่ได้อยู่ในกระแสนิยมตลอดเวลานะ แต่ทุกครั้งที่พี่นกทำอะไร ทุกคนก็จะยอมรับทันทีว่านี่คือพี่นก สินจัย นี่คือพี่แอน ทองประสม นี่คืออาหนิง นิรุตติ์
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หนึ่งในนักแสดงที่เปลี่ยนชีวิตผมเลยคือ อาหนิง-นิรุตติ์ ศิริจรรยา ในช่วงที่เราถ่ายหนังสั้นเป็นพ่อลูกกัน (Love Songs Love Stories คงเดิม, 2559) การแสดงของเขาตบผมให้เข้าที่ทันทีเลย “ผมจะเล่น 2 เทกนะ เพราะผมอายุมากแล้ว คุณเข้าใจผมแหละ ผมอาจจะไม่ตรงบทมากนะ แต่เราจะอยู่ในฉากนั้นล่ะ เราจะหาทางให้เจอ” การทำงานกับอาหนิงคืออะไรจะเกิดขึ้นก็ได้ บางทีเขาก็เอาบทช่วงท้ายขึ้นมาก่อน ผมรู้ว่าเขารู้บทหมด แต่เขาหลอกเพราะอยากดูเชิงเรา เหมือนเป็นการเรียกสติให้เราคิดว่าจะไปยังไงต่อดี นี่ล่ะครับรุ่นใหญ่ของจริง
หลังจากนั้นผมก็นั่งอยู่กับอาหนิงทั้งวัน ฟังแล้วก็คุยจนอาหนิงพูดห้วนๆ เรียกผมกับคุณตามสไตล์เขา “ผมว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน ดูสิ ตอนผมแก่มีงานแสดงเยอะกว่าตอนหนุ่มๆ อีก อย่าวางแผนชีวิตให้แน่นจนหายใจไม่ออก เพราะสุดท้ายแล้วคุณจะไม่ได้หายใจเลย” เขาสอนผม สร้างแอตติจูดของการเป็นนักแสดง “คุณอยากแค่เล่นๆๆ ใช้ชีวิตเละเทะ หรือมาแสดงแล้วทำให้คนจำได้ว่าคนนี้ทำอะไรไว้” นั่นเป็นอินสไปร์ให้ผมคิดแบบอาหนิง ไม่ประดิษฐ์ เข้าใจโลก เข้าใจธรรมชาติ และทรงคุณค่าในแบบของตัวเอง
ผมเองคงต้องเคี่ยวอีกนาน แต่ก็พยายามวางโกลของตัวเองไว้ จะได้ไม่หลงทาง ผมพยายามไม่เปลี่ยนตัวตน อะไรที่ไม่ดีก็จะแก้ไข อะไรที่ดีก็ทำต่อไป ผมมองผู้ชายแบบอาหนิง นิรุตติ์ แล้วศรัทธาในตัวเขา หรืออย่างอนันดา เอเวอริงแฮม เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ แต่โลกไม่ต้องการอาหนิงสองหรืออนันดาสอง โลกต้องการออริจินัล ผมก็แค่อยากเป็นคนคนนั้น แค่เป็นแก้วที่ว่างเปล่าอยู่ตลอดเวลาแล้วรอให้เขาเติม
จำได้ว่าตอนอายุ 25 ฌอห์ณเคยบอกว่าจะแต่งงานก่อนอายุ 30
ใช่ แล้วตอนนี้ดูสิ (หัวเราะ) ตอนนั้นผมเห็นความสุขในความรักของพี่สาว ถ้าผมย้อนกลับไปได้ ผมก็อยากกลับไปบอกไอ้ฌอห์ณในตอนนั้นว่า ใจเย็นนะ มึงใจเย็นก่อน คือพอหลานเริ่มโต ผมรู้เลยว่ามันยากมาก ค่าใช้จ่ายโคตรสูง แล้วเรื่องของการให้เวลาเด็กมันสำคัญมากๆ เด็กสมัยนี้สิ่งล่อแหลมมันเยอะ
ตอนนี้ผมเรียงลำดับความสำคัญใหม่ เหมือนล้างกระดาน แต่ก่อนความรักกับงานเบียดๆ กันมาเลยล่ะ แต่ตอนนี้งานกับครอบครัวมาก่อน ความรักตกไปอันดับ 3 เลย เพราะรู้สึกว่าผมจะอายุ 30 แล้ว อยากทำอะไรให้ที่บ้านอุ่นใจหน่อย ด้วยความที่เราเป็นผู้ชายด้วย จะแต่งงานก็ต้องมีทุนชีวิต ทำให้ผมคิดหลายชั้นมาก
ส่วนตอนนี้ก็คิดว่าคงไม่อยากแต่งงานเกินอายุ 40 หรอกนะ แต่ไม่แน่ เผลอๆ ผมอาจยังไม่แต่งงานแล้วมาเป็นพนักงานออฟฟิศที่นี่แหละ (หัวเราะ)
ภาพ: @seanjindachot/Instagram
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์