×

SCO Summit-พาเหรดกองทัพ ความจริงของโลกพหุขั้ว และฉากทัศน์ระเบียบโลกใหม่ใต้เงาจีน

05.09.2025
  • LOADING...
SCO Summit

ปฏิเสธไม่ได้ว่า 2 อีเวนต์ระดับโลกที่เกิดขึ้นในจีนช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization : SCO) ครั้งที่ 25 ต่อเนื่องด้วยพิธีสวนสนามในวาระครบรอบ 80 ปี การสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้น ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันพุธ (3 กันยายน) เป็นอีเวนต์การทูตที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะส่งเสริมบทบาทความเป็นมหาอำนาจของจีน ยังเป็นการ ‘ส่งสัญญาณ’ ที่ชัดเจนถึงความพยายามในการเปลี่ยนแปลง ‘ระเบียบโลกใหม่’ ไปยังคู่แข่งมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่เป็นผู้นำระเบียบโลกเสรีนิยมซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคหลังสงครามเย็น

 

การที่เหล่าผู้นำนานาประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มต่อต้านตะวันตก ทั้งรัสเซีย เกาหลีเหนือ อิหร่าน และหลายประเทศในเอเชียกลางเข้าร่วมในทั้ง 2 อีเวนต์ ยังเป็นการตอกย้ำว่าจีน ตั้งใจให้งานนี้สะท้อนภาพจริงของโลกพหุขั้ว (Multipolar) ที่มีความชัดเจนมากขึ้น 

 

ทั้งสองงานถือเป็น ‘ละครการเมืองโลก’ ที่จีนจัดขึ้นอย่างพิถีพิถัน ผสมผสานด้วยท่าทีทางการทูตและความแข็งแกร่งทางทหาร ตลอดจนเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ จนทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ คือฉายภาพอำนาจและอิทธิพลจีนเหนือประเทศต่างๆ พร้อมกับยกระดับขวัญและกำลังใจของประชาชนภายในประเทศ และช่วยส่งเสริมความนิยมและแรงสนับสนุนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

 

Chatham House สถาบันวิจัยว่าด้วยกิจการระหว่างประเทศ ในกรุงลอนดอน ชี้ว่า จีนได้ใช้ทั้ง 2 งานนี้ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับระเบียบโลกใหม่ไปสู่สายตานานาชาติ โดยส่งข้อความที่ชัดเจนเกี่ยวกับการพลิกโฉมระเบียบโลก ขณะที่จีนแสดงตนเป็นผู้นำของกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) หรือประเทศกำลังพัฒนา

 

ระเบียบโลกทางเลือกที่จีนโชว์ใน SCO

 

SCO เป็นองค์กรระดับภูมิภาคที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 โดยมุ่งเน้นในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนระหว่างประเทศในเอเชียกลาง แต่เมื่อไม่นานมานี้ ได้พัฒนาเป็นเวที ที่มุ่งเน้นการนำเสนอมุมมองระเบียบโลกทางเลือกที่ไม่ได้นำโดยชาติตะวันตกหรือสหรัฐฯ โดยมีสมาชิกหลัก ประกอบด้วยจีน อินเดีย อิหร่าน ปากีสถาน และรัสเซีย ขณะที่ผู้นำจากตุรกีและเซอร์เบียก็เข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่จีนจัดขึ้น ณ นครเทียนจินในปีนี้เช่นกัน

 

จีนเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงโอกาสที่ได้รับจากนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาวอเมริกันและการใช้แนวทาง “กดดันสูงสุด” ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ ในภูมิภาค โดยรัฐบาลปักกิ่งได้ใช้ประโยชน์จากวาทกรรมของทรัมป์ โดยทุ่มสุดตัวในการรุกทางการทูต เพื่อฟื้นฟูหรือเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีกับหลากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ

 

ในการประชุมสุดยอด SCO ครั้งล่าสุดนี้ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ได้ใช้โอกาสนี้ในการเสนอโครงการริเริ่มธรรมาภิบาลโลก (Global Governance Initiative) ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มเติมจาก 3 โครงการริเริ่มก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวกับการพัฒนา ความมั่นคง และอารยธรรมโลก แม้ว่าจะยังไม่ได้กำหนดกรอบการทำงานที่ชัดเจนของโครงการริเริ่มธรรมาภิบาลใหม่นี้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของจีน และแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ต้องการถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์กรพหุภาคีหลายแห่งที่นำโดยสหประชาชาติ

 

หนึ่งในผู้เข้าร่วมการประชุมที่โดดเด่นและถูกจับตามองมากที่สุดคือนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ต่อจีนที่ชัดเจน หลังจากข้อพิพาทอันขมขื่นระหว่างสองประเทศซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลก 

 

โดยการเยือนจีนของโมดีเกิดขึ้นหลังจากทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าอินเดีย 50% ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับประเทศที่มองว่า ตนเองเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ของวอชิงตัน

 

รายงานการประชุมระหว่างโมดีและสี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะยอมรับและร่วมมือกันเพื่อแก้ไขความขัดแย้งบางประการในความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยพวกเขายังย้ำว่าความสัมพันธ์จีน-อินเดีย “จะไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายที่สาม”

 

ปักกิ่งมองว่าการประชุมสุดยอด SCO ที่เกิดขึ้น เป็นเวทีที่ช่วยให้จีนบรรลุวิสัยทัศน์ด้านความสัมพันธ์ระดับโลก นั่นคือโลกที่โลกตะวันตกมีบทบาทความเป็นผู้นำน้อยลง ในขณะที่ประเทศที่ไม่ใช่ตะวันตกก็ก้าวขึ้นมาช่วยกำหนดระเบียบโลกแบบพหุขั้วได้

 

พาเหรดทางทหาร ที่มากกว่าการโชว์แสนยานุภาพ

 

ผู้นำหลายคนที่เข้าร่วมการประชุม SCO ยังได้ร่วมชมความยิ่งใหญ่ของจีนในขบวนพาเหรดทางทหารที่จัดขึ้นเมื่อวันพุธ 

 

ขบวนพาเหรดนี้ เป็นมากกว่าโอกาสในการแสดงแสนยานุภาพทางทหารของจีน แต่ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนไม่เพียงเป็นมหาอำนาจเท่านั้น แต่ยังเป็นมหาอำนาจที่มี ‘รากฐาน’ มาจากประเทศกำลังพัฒนา 

 

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ทั่วโลกได้เน้นย้ำถึงคุณูปการของสหรัฐฯ ยุโรป และสหภาพโซเวียต ในขณะที่มองข้ามความสำคัญในการเสียสละของจีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยขบวนพาเหรดนี้เปิดโอกาสให้ปักกิ่งได้บอกเล่าทุกเรื่องราวจากมุมมองของตนเอง

 

ขณะที่การจัดแสดงขบวนพาเหรดในวันแห่งชัยชนะครบรอบปีที่ 80 เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญความยากลำบาก โดยมีภาวะเงินฝืดและอัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวที่พุ่งสูง ซึ่งสำหรับสีและเหล่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ ขบวนพาเหรดนี้คือโอกาสที่จะตอกย้ำสารสำคัญที่ส่งถึงประชาชน นั่นคือ “ความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีรากฐานมาจากชัยชนะเหนือการรุกรานของญี่ปุ่นเมื่อ 80 ปีก่อน”

 

สำหรับอาวุธยุทโธปกรณ์ล้ำสมัยที่จีนนำมาจัดแสดงในขบวนพาเหรด ยังเป็นการส่งข้อความสำคัญไปยังทั่วโลก ว่ากองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) กำลังก้าวขึ้นเป็นกองกำลังรบที่ทันสมัยที่สุดในโลก และเพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีภายในประเทศที่ทันสมัย ​​หลังจากที่มุ่งมั่นพึ่งพาตนเองมานานนับทศวรรษ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า จีนในวันนี้ มีศักยภาพยับยั้งศัตรูและรักษาความมั่นคงในเอเชีย

 

ทั้งสองอีเวนต์สำคัญนี้ ถือเป็นเส้นทางอันทรงพลังสำหรับสี ในการชูวิสัยทัศน์โลกหลายขั้วที่นำโดยจีน ในขณะที่ทรัมป์กำลังรื้อถอนเสาหลักของระบบพหุภาคี 

 

โดยรัฐบาลปักกิ่งมองเห็นโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนระเบียบโลกใหม่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดมา 8 ทศวรรษ และจีนไม่ได้มองตนเองเป็นเพียงผู้มีส่วนร่วมในหน้าประวัติศาสตร์อีกต่อไป แต่วางตัวในฐานะสถาปนิกของระเบียบโลกใหม่ ซึ่งจีนตั้งใจที่จะออกแบบด้วยเงื่อนไขของตนเอง

 

ภาพ : KCNA via REUTERS 

อ้างอิง : 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising