สำหรับนักกีฬาแล้ว การลงสนามคือทั้งชีวิตของพวกเขา ชีวิตที่ผ่านการต่อสู้เคี่ยวกรำอย่างหนักด้วยแรงผลักดันที่ร้อนแรง เพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายที่หวังไว้
นั่นเป็นด้านที่แข็งแกร่งของเหล่านักกีฬาทุกคน ซึ่งมีทั้งด้านของร่างกาย (Body) และจิตใจ (Mind) ที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อไม่ให้ยอมแพ้ใครง่ายๆ
ความรักนั้นเป็นสิ่งที่เหมือนอยู่ตรงกันข้าม เพราะความรักเป็นเรื่องการเปิดเผยความรู้สึก ตัวตน ไปจนถึงความอ่อนไหว ซึ่งฟังดูแล้วไม่ใช่เรื่องที่เข้ากันกับความเป็นนักกีฬาที่ถูกต้องสักเท่าไรนัก
แต่ความน่ามหัศจรรย์ก็คือ ความรักนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงนักกีฬาสักคนให้ทำผลงานได้ดีขึ้น กลายเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจขึ้น
เรื่องนี้มีคำอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ของความสัมพันธ์อันเหลือเชื่ออยู่
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ…
เพราะรักคือการแข่งขัน
โดยธรรมชาติของนักกีฬาแล้ว ทุกคนย่อมชอบการแข่งขัน (ไม่อย่างนั้นจะมาเป็นนักกีฬาทำไม จริงไหม) ยิ่งเจอความท้าทายมากขึ้นและยากขึ้นเท่าไร หัวใจก็เต้นเร็วและแรงขึ้นเท่านั้น
แน่นอนในการแข่งขันไม่ได้แปลว่าเราจะพบวันแห่งชัยชนะเสมอไป มันต้องมีวันที่แพ้ วันที่ท้อแท้ วันที่ผิดหวังอยู่ด้วย
ฟังดูแล้วคุ้นๆ ไหมว่าคล้ายกับอะไร? ใช่แล้ว มันก็คือสิ่งที่เราจะพบเจอได้ในเรื่องของความรักเหมือนกัน เจอกับความท้าทาย เจอกับความผิดหวัง ความท้อแท้ รวมถึงความสมหวังที่เหมือนกับวันแห่งชัยชนะนั่นเอง
เรื่องนี้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วอธิบายได้ว่า ในเวลาที่เรามีความรัก (In Love) สมองของเราจะมีส่วนหนึ่งที่ดูแลจัดการเรื่องของการให้ ‘รางวัล’ (Reward) และแรงผลักดัน (Motivation) ซึ่งมันเป็นสมองส่วนเดียวกันกับที่ทำงานให้รางวัลต่อร่างกายและจิตใจของเราในเวลาที่เราคว้าชัยชนะในการแข่งขันได้
ในปี 2016 มีงานวิจัยเกี่ยวกับผลงานของนักกีฬาที่ลงแข่งขันในระดับโอลิมปิก ซึ่งพบความลับของความรักในหมู่นักกีฬาเข้า เพราะนักกีฬาโอลิมปิกส่วนใหญ่ ‘เชื่อว่า’ ความรักคือเข็มทิศที่จะนำทางพวกเขาให้ทำผลงานได้ดีขึ้น
ถึงแม้ว่างานวิจัยนี้จะอยู่ในชั้นต้น แต่ก็ชัดเจนว่าไม่ใช่แค่กิจกรรมทางกายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกดีต่อตัวเอง ความสัมพันธ์ที่พวกเขามีก็ส่งผลต่อชีวิต (การเป็นนักกีฬา) ได้ด้วยเช่นกัน
ความลับของความรัก
ก่อนหน้านี้หลายคนอาจเคยได้ยินว่าคนเล่นกีฬา – ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว – เวลาเล่นไปถึงจุดหนึ่งจะรู้สึกมีความสุข เพราะสารเอ็นดอร์ฟินถูกหลั่งออกมาจากสมอง
แต่การเล่นกีฬาไม่ได้มีแค่นั้น
ความลับของความรักอีกอย่างคือ เวลาที่เรามอบหัวใจให้ใครสักคนและได้รับมันกลับมา สมองของเราจะหลั่งสารที่เรียกว่า ออกซิโตซิน (Oxytocin) และโดพามีน (Dopamine)
เราเรียกสารเหล่านี้กันเล่นๆ ว่า ‘ฮอร์โมนของความรัก’ (The Love Hormone)
ตามข้อมูลจากงานวิจัยในปี 2016 บอกว่า สารทั้งสองตัวนี้อาจจะส่งผลดีต่อผลงานของนักกีฬายามลงสนามได้ โดยสารเหล่านี้คือสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ซึ่งก็คือสารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อส่งสัญญาณจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง ซึ่งทำงานบนความสัมพันธ์ของคน ยิ่งผูกพันมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งมีผลมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นหากนักกีฬามีความรักในหัวใจแล้ว ด้วยสารที่หลั่งออกมาจากสมองจะทำให้พวกเขารู้สึกมี ‘พลัง’ มากยิ่งขึ้น และมีสมาธิกับการแข่งขันมากยิ่งขึ้นไปด้วย และแน่นอนมันหมายถึงโอกาสที่จะทำผลงานได้ดีขึ้น
เพราะเราไม่ได้คิดถึงแค่การเล่นเพื่อตัวเอง
แต่เรากำลังสู้เพื่อใครอีกคนด้วย
รักดีก็เล่นดี
ความรักที่ดีไม่ได้แปลว่าต้องโรแมนติกกันทุกวันเสมอไป ซึ่งนักกีฬาไม่ได้คิดว่าความรักแบบนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น (แต่แน่ละโรแมนติกกันบ้างใครจะไม่ชอบ!)
สำหรับนักกีฬาแล้ว แค่เพียงคนรักที่เข้มแข็ง พร้อมสนับสนุน เป็นกำลังใจให้ และอยู่เคียงข้างเสมอ แค่นี้ก็ช่วยให้สามารถทำผลงานได้ดีขึ้นแล้ว ซึ่งมีผลการศึกษาระบุว่า นักกีฬาโดยเฉพาะในประเภทเดี่ยว เช่น สโนว์บอร์ด ที่ต้องแข่งขันด้วยตัวคนเดียวนั้น หากมีรักดี ชีวิตดี ก็จะส่งผลดีต่อผลงานการแข่งขันด้วย
ในปี 2009 ผลการศึกษา A Journal of Clinical Sports Psychology Study เปิดเผยว่า นักกีฬาที่ไม่ได้รับการสนับสนุนและกำลังใจจากคนรักจะทำผลงานได้แย่ลงกว่าเดิม
เพราะความรู้สึกเสน่หา (Affection) และความเชื่อใจ (Trust) จะมาพร้อมกับความสัมพันธ์ระยะยาวที่ยั่งยืน ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะเป็นความสัมพันธ์ที่โรแมนติกหรือไม่ก็ตาม หากมันเป็นไปด้วยดีแล้ว ก็จะส่งผลดีต่อผลงานของนักกีฬาในสนามด้วย
จะเห็นได้ว่าเรื่องวิทยาศาสตร์ ความรัก และนักกีฬานั้น มีส่วนสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง เป็นความลับของความรักที่ยากจะบอก แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง
สิ่งที่อยากทิ้งท้ายให้คือ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นกับนักกีฬาอาชีพเพียงอย่างเดียว สำหรับคนทั่วไปอย่างเราๆ ทุกคน การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายร่วมกับคนรักก็เป็นหนึ่งในการใช้จ่ายวันเวลาร่วมกันที่ดีที่สุดด้วย
ในทางจิตวิทยามีผลการศึกษาว่า การเล่นกีฬาด้วยกันช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดจากความสัมพันธ์ที่จริงจังจนเริ่มติงนัง
ดังนั้นแทนที่จะล้างจานหรือซักผ้าด้วยความหงุดหงิด อ่อนล้า และพาลจากการทำงานหนัก ลองเอ่ยปากชวนคนรักมาเล่นกีฬาด้วยกัน
“ต่อยมวยกันไหมที่รัก” เอ้ย “ไปวิ่งหรือตีแบดกันไหม แล้วเดี๋ยวค่อยไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน”
สุขสันต์วันแห่งความรักนะครับทุกคน 🙂
อ้างอิง: