บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP เลื่อนแผนเดินเครื่องจักรโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่เวียดนามตอนเหนือ หลังดีมานด์จีนชะลอ ขณะเดียวกันวางเป้าหมายปี 2565 มีรายได้แตะ 150,000 ล้านบาท โดยภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 จนถึงต้นปี 2566 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทเลื่อนแผนการเปิดฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ภายในคอมเพล็กซ์ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 12,000 ล้านบาท ที่ประเทศเวียดนามออกไปเป็นในปี 2568 จากเดิมคาดจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2567 หลังจากที่ดีมานด์จากจีนชะลอตัวลง ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทหวังจะเปิดโรงงานดังกล่าวเพื่อรองรับเวียดนามเหนือและจีนใต้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เกิดอะไรขึ้นกับ ‘ฮ่องกง’ ทำไมสถานะ ‘ศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย’ กำลังถูกสั่นคลอน และอาจกลายเป็นแค่อดีต
- ส่องกรณีศึกษาการเติบโตของ เศรษฐกิจสิงคโปร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า
- เปิดจุดเด่น เวียดนาม หลังจ่อขึ้นแท่นประเทศที่คว้าชัยในยุค Deglobalization
สำหรับด้านการส่งออกของอาเซียนยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ความต้องการสินค้าคงทนลดลง รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด ขณะเดียวกันการที่ประเทศจีนประกาศนโยบาย Zero-COVID จะทำให้เศรษฐกิจจีนโตช้า ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน บริษัทจึงปรับกลยุทธ์ลดความเสี่ยงดังกล่าวด้วยการกระจายไปยังตลาดอินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2565 บริษัทมั่นใจว่าจะมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 150,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยภาพรวมของเศรษฐกิจอาเซียนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 จนถึงต้นปี 2566 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการบริโภคภายในประเทศ การเดินทางระหว่างประเทศ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการสินค้าที่จำเป็นสำหรับการบริโภค เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
สำหรับงบลงทุนในปี 2565 คาดว่าจะใช้ประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยในช่วงที่ผ่านมาใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเป้าหมายเดิมที่วางไว้จะใช้เงินลงทุน 20,000 ล้านบาท เนื่องจากจะมีดีลควบรวมกิจการกับพันธมิตร (M&P) ที่จะต้องเลื่อนการลงทุนออกไปยังต้นปี 2566 รวมถึงชะลอและเลื่อนการเปิดโครงการโรงงานผลิตกระดาษที่เวียดนามตอนเหนือออกไปในปี 2568 จากเดิมที่จะเปิดดำเนินการในปี 2567
นอกจากนี้บริษัทวางกลยุทธ์รุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขภาพเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ได้เข้าไปลงทุน ซื้อหุ้น 85% ใน Deltalab ซึ่งขยายไปยังธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ สุขภาพ และการแพทย์ SCGP จึงรุกเข้าสู่ตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง
สำหรับไตรมาส 3/65 SCGP มีรายได้จากการขาย 37,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 มี EBITDA อยู่ที่ 5,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และกำไรสำหรับงวด 1,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายสินค้าที่สะท้อนต้นทุน
ราคาเยื่อที่สูงขึ้นและความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ของกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคอาเซียนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายธุรกิจจากการควบรวมกิจการบริษัทรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ Peute Recycling B.V. (Peute) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ Jordan Trading Inc. (Jordan) สหรัฐอเมริกา
ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้จากการขาย 112,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องภายใต้กลยุทธ์ M&P รวมถึงความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้นภายหลังที่มีการเปิดประเทศและสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย