×

SCBAM ชี้สัปดาห์หน้าหุ้นโลกเสี่ยงผันผวน มีหลายปัจจัยกดดันทำตลาดเสี่ยงปรับฐาน จับตาผลประชุม Fed เงินเฟ้อสหรัฐฯ

06.06.2023
  • LOADING...

บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะติดตามสัปดาห์หน้า เหตุมีหลายปัจจัยลบกดดันภาพการลงทุนตลาดหุ้นโลก ทั้งการประชุม Fed ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกา ชี้หากหุ้นบิ๊กเทคสหรัฐฯ ปรับฐานเป็นโอกาสทยอยสะสม พร้อมแนะนำเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นจีน หลังราคาถูกเกินไป

 

สิทธา เซ่งไพเราะ Associate Director, ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ หรือ SCBAM เปิดเผยผ่านรายการ Morning Wealth ว่าภาพตลาดสินทรัพย์การลงทุนของโลกในสัปดาห์หน้าจะมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากดดันภาพการลงทุนในตลาดหุ้นโลกให้เกิดความผันผวนมากขึ้น โดยในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ สหรัฐฯ จะรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ CPI รวมทั้งการประชุมของธนาคารกลางสำคัญ ทั้งธนาคารสหรัฐฯ (Fed), ธนาคารกลางยุโรป (ECB), ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะจัดขึ้นในช่วงสัปดาห์หน้า

 

อย่างไรก็ดี ยังมองภาพการลงทุนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าเป็นเชิงบวกสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ยังต้องลงทุนแบบ Selective ในอุตสาหกรรมแต่ละประเภทมากขึ้น โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาพบว่าหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ซึ่งราคาหุ้น Nvidia ปรับตัวขึ้นมาถึงราว 160% รวมถึงหุ้นกลุ่ม MAG 7 ซึ่งเป็นหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 บริษัท ราคาปรับตัวขึ้นมาประมาณ 70% เป็นอัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่สูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก ซึ่งในช่วงดังกล่าว S&P 500 ปรับตัวขึ้นมาเพียง 9% ขณะที่ MSCI ACWI ปรับตัวขึ้นเพียง 7%

 

ขณะที่ในฝั่งตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนติดลบในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาปีนี้คือตลาดหุ้นจีนกับตลาดหุ้นไทยที่ติดลบไปราว 8% รวมถึงราคาน้ำมันที่ให้ผลตอบแทนติดลบไปราว 15%  

 

สำหรับการลงทุนในช่วงระยะ 3 เดือนข้างหน้า ยังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีโอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นต่อเนื่องจากปัจจัยบวกทั้งจากภาพของเศรษฐกิจมหภาคและจุลภาค โดยประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในช่วงวัฏจักรชะลอตัวหรือเติบโตช้าลง แต่ยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นขนาดใหญ่คุณภาพสูงอย่างกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้นที่มีหนี้ต่ำ มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจได้ดี

 

อีกทั้งมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่เข้าใกล้จุดขาขึ้น และมีโอกาสที่จะเริ่มเป็นแนวโน้มขาลงได้ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 2567 ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวม (Outperform) รวมทั้งยังมีกระแสความนิยม AI ที่ส่งผลบวกต่อกำไรในหุ้นที่เกี่ยวข้อง

 

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีความเสี่ยงที่จะถูกแรงขายทำกำไรออกมาในระยะสั้น หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง โดยให้ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงผลประชุมของ Fed ที่จะออกมาในช่วงสัปดาห์หน้า และแผนการเร่งออกพันธบัตรของสหรัฐฯ ส่งผลให้มีความเสี่ยงจะเห็นการปรับฐาน (Correction) ได้ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยกลยุทธ์การลงทุนหากราคาปรับตัวลงในระดับ 5-10% มองว่าเป็นโอกาสแนะนำให้ทยอยซื้อสะสม

 

สิทธากล่าวต่อว่า ยังมีความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเพิ่มเติมในการลงทุน หากหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI ประกาศงบการเงินไตรมาส 2/66 ออกมาสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน ก็เสี่ยงจะเป็นปัจจัยลบกดดันให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงไม่น้อยกว่า 20% ได้เช่นกัน

 

ทั้งนี้ มีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่แนะนำให้ทยอยสะสมหากเห็นการปรับฐานในสัปดาห์หน้า ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอลดิจิตอล (SCBDIGI), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยูเอส เอ็นดีคิว (SCBNDQ)

 

ขณะที่ฝั่งตลาดหุ้นจีนที่ให้ผลตอบแทนติดลบในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ เพราะยังมีปัจจัยความกังวลในประเด็นปัญหาหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังกดดันภาพการลงทุนในตลาดหุ้นจีน รวมทั้งเลขเศรษฐกิจจีนหลังเปิดประเทศที่ยังสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน แต่หากพิจารณาด้านปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นจีนปัจจุบันมี P/E Ratio ถือว่าค่อนข้างถูกเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในรอบ 15 ปี 

 

อีกทั้งประเมินว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ในตลาดหุ้นจีนช่วง 2 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี สำหรับหุ้นกลุ่ม A-Share กับ H-Share ปัจจุบันราคาปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าช่วงที่จีนจะประกาศเปิดประเทศ โดยมองว่ามูลค่าหุ้นจีนปัจจุบันมีราคาต่ำเกินไป จึงแนะนำให้ซื้อเก็งกำไรในระยะสั้น เพราะมีโอกาสที่จะเห็นราคาหุ้นรีบาวด์

 

นอกจากนี้ยังมีกองทุนแนะนำที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนคือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ (SCBCHA), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮ็ดจ์ (SCBCEH) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ China Technology (SCBCTECH)

 

สำหรับตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันราคาที่ปรับลดลงมาถือว่าเริ่มมีความน่าสนใจ แต่ยังต้องรอปัจจัยความชัดเจนทางการเมืองเพื่อมาสนับสนุน แต่มองว่าในช่วงระยะ 1-3 เดือนตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยที่จะเข้ามาสนับสนุนภาพการลงทุนที่ชัดเจน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising