มาณพ เสงี่ยมบุตร รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน China Business ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารกลางจีน หรือ People’s Bank of China (PBOC) กำลังจะทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัลที่มีชื่อทางการว่า Digital Currency/Electronic Payment (DCEP)โดยกำหนดทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัลใน 4 เมือง ได้แก่ เซินเจิ้น ซูโจว เฉิงตู และเขตเมืองใหม่สงอัน
ทั้งนี้เมืองซูโจว ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 รัฐบาลจะจ่ายค่าเดินทางให้กับข้าราชการครึ่งหนึ่งเป็นเงินหยวนดิจิทัล ขณะที่เมืองสงอันจะเน้นทดลองใช้กับธุรกิจค้าปลีกและการจัดเลี้ยง เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ฟิตเนส ฯลฯ ซึ่งจะมีบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เช่น Starbucks, McDonald’s และ Subway เข้าร่วมโครงการทดลองด้วย
“เริ่มใช้เงินหยวนดิจิทัลน่าจะเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่สำคัญที่สุดหลังจากเหตุการณ์โรคระบาด โดยเงินหยวนดิจิทัลนี้ไม่ใช่สกุลใหม่ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของเงินหยวนปกติ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายการเงิน ตลอดจนมีส่วนช่วยในการปราบปรามการทุจริต ในระยะยาวอาจเป็นตัวเสริมความเป็นสากลของเงินหยวน อีกทั้งเงินหยวนดิจิทัลมีคุณสมบัติและวัตถุประสงค์ที่ตรงกันข้ามกับคริปโตเคอร์เรนซีโดยสิ้นเชิง และรัฐบาลจีนไม่ได้มีสัญญาณที่จะเปลี่ยนท่าทีมาส่งเสริมการใช้คริปโตเคอร์เรนซีแต่อย่างใด”
อย่างไรก็ตาม การใช้เงินหยวนดิจิทัลคาดว่าธนาคารพาณิชย์จีนน่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเมื่อธนาคารกลางจีนออกแบบหยวนดิจิทัล โดยข้อมูลการใช้เงินจะรวมศูนย์มาอยู่ที่ธนาคารกลาง จึงจะลดทอนบทบาทธนาคารพาณิชย์ในการทำหน้าที่เป็นตัวส่งต่อกลไกราคา รวมถึงความต้องการใช้บริการบางด้าน เช่น ธุรกิจ Custodian และธุรกิจกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อาจลดลง
ทั้งนี้ธนาคารกลางจีนศึกษาแนวทางการออกเงินหยวนดิจิทัลมาตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งการใช้หยวนดิจิทัลในช่วงเวลานี้ ส่วนหนึ่งเพื่อการป้องกันการติดโควิด-19 ผ่านธนบัตร โดยปัจจุบันแม้จีนจะเป็นสังคมไร้เงินสดเกือบทั้งหมด แต่เบื้องหลังของกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย ยังมีส่วนที่เป็นธนบัตรกระดาษอยู่ อาทิ การจัดเก็บธนบัตรที่ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเงินหยวนดิจิทัลจะไม่มีขั้นตอนของธนบัตรกระดาษ ดังนั้นในระยะต่อไปเมื่อมีการใช้เงินหยวนดิจิทัลในวงกว้าง ธนาคารกลางจีนน่าจะสามารถดำเนินนโยบายทางการเงินได้แบบคล่องตัวและตรงจุดมากขึ้น
ส่วนหนึ่งเพราะคุณสมบัติด้านการรวมศูนย์ที่ทำให้ติดตามสถานะของผู้ถือเงินได้ ซึ่งธนาคารกลางอาจกำหนดหรือปรับอัตราดอกเบี้ยในระดับที่ต่างกันสำหรับกลุ่มผู้ถือเงินแต่ละกลุ่มโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกลไกของธนาคารพาณิชย์ ทำให้ธนาคารกลางสามารถบริหารสภาพคล่องในแต่ละภาคเศรษฐกิจได้โดยตรงมากขึ้น นอกจากนี้ประโยชน์อื่นๆ ของเงินดิจิทัล ได้แก่ ต้นทุนการผลิตเงินที่ต่ำกว่า การป้องกันการคดโกงและการฟอกเงินที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า หรือแม้กระทั่งการจ่ายเงินอุดหนุนในเหตุวิกฤตที่ทำได้แบบตรงตัวกว่า เป็นต้น
“เงินหยวนดิจิทัลมีความต่างจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเงินหยวนดิจิทัลจะถูกเก็บอยู่ในมือถือของประชาชนโดยตรง การใช้จ่ายทำผ่านระบบ NFC ก็คือเอาโทรศัพท์มือถือมาแตะกัน จึงให้ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสูงกว่าสำหรับประชาชนทั่วไป เพราะข้อมูลการใช้จ่ายจะถูกจัดเก็บรวมกันที่ธนาคารกลาง ไม่กระจายอยู่ที่บริษัทเอกชน และสิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ในภาคธุรกิจคือ เมื่อมีการใช้เงินหยวนดิจิทัลในวงกว้าง ธุรกิจร้านค้าอาจถูกติดตามเรื่องการเสียภาษีได้ง่ายขึ้น”
ในมุมมองของไทยพาณิชย์ สิ่งที่ต้องจับตามองอย่างมากคือเมืองสงอัน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงปักกิ่ง เพราะรัฐบาลจีนจะผลักดันให้เป็นเมืองอัจฉริยะแห่งอนาคต ในส่วนของกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Apple Pay, AliPay และ WeChat นั้น รัฐบาลจีนก็ออกกฎชัดว่าต้องสามารถรองรับการใช้งานของเงินหยวนดิจิทัลได้ ซึ่งน่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การใช้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว
แนวคิดของเงินหยวนดิจิทัลโดยนัยยังเป็นการสกัดกั้นคริปโตเคอร์เรนซี เนื่องจากเงินหยวนดิจิทัลมีลักษณะ 3 ประการ
- มีกฎหมายรองรับและไม่ใช่เงินสกุลใหม่: เงินหยวนดิจิทัลเป็นเงินที่มีกฎหมายและความน่าเชื่อถือของประเทศรองรับ ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ หากแต่เป็นเงินหยวนในรูปแบบดิจิทัล (แทนที่จะเป็นกระดาษ) ดังนั้นไม่ต้องมีการอิงราคากับสกุลเงินหรือสินทรัพย์ใดๆ ไม่ต้องมีการกำหนดราคาเป็นของตัวเองเพิ่มขึ้น เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินหยวนที่มีใช้อยู่แล้ว หากเปรียบเทียบกับบิทคอยน์ จะเห็นได้ว่าบิทคอยน์ถือเป็นอีกสกุลเงินหนึ่งที่มีราคาตลาดขึ้นลงเป็นของตัวเอง โดยไม่ต้องสอดคล้องกับสกุลเงินจริงใดๆ หรือแม้กระทั่งลิบราก็ยังถือเป็นอีกสกุลเงินหนึ่ง ที่มีการผูกค่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อไม่ให้มีความผันผวน แต่โดยตัวเองไม่ได้มีการรับรองโดยรัฐประเทศ
- มีลักษณะรวมศูนย์: เงินหยวนดิจิทัลไม่อิงกับเทคโนโลยีบล็อกเชนมีลักษณะการจัดเก็บแบบรวมศูนย์มาที่ธนาคารกลาง คือธนาคารกลางสามารถรู้ข้อมูลการเคลื่อนไหวตลอดจนสถานะของผู้ถือ (ว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือบริษัท SME หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น) โดยที่แนวคิดเรื่องการรวมศูนย์นี้มีความตรงกันข้ามกับคริปโตเคอร์เรนซีชนิดต่างๆ ที่เน้นการกระจายการจัดเก็บข้อมูลโดยไม่มีตัวกลาง
- มีดอกเบี้ย: ที่น่าสนใจมากคือธนาคารกลางสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้กับเงินหยวนดิจิทัลได้โดยตรง คุณสมบัติข้อนี้เป็นจุดแตกต่างจากเงินคริปโตเคอร์เรนซีโดยทั่วไป แต่ในขั้นทดลองนี้ยังไม่มีการกำหนดดอกเบี้ย
อย่างไรดี ตามภาคธุรกิจไทยควรจับตาแนวโน้มในระยะยาวว่า เงินหยวนดิจิทัลจะมี
ความคล่องตัวอย่างไร และมีบทบาทต่อเงินหยวนในสากลมากขึ้นหรือไม่ เช่น การโอนเงินเข้าออกประเทศจีนเพื่อชำระสินค้า ค่าบริการ และการลงทุน การเพิ่มน้ำหนักของเงินหยวนในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ เพราะจะมีผลต่อเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยน โดยในระยะสั้นไม่คิดว่าการใช้เงินหยวนดิจิทัลจะมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจไทยแต่อย่างใด
ห้ามพลาด! ฟอรัมที่เจาะลึก New Normal ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย จากวิทยากรระดับประเทศ 40 คน ซื้อบัตรงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM ที่ https://www.eventpop.me/e/8705-economic-forum
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า