ตลอดช่วงเวลาระหว่างปี 2563-2564 หลังการแพร่ระบาดของโควิดระยะแรก ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งจากนโยบายของธนาคารกลางแต่ละประเทศที่ตัดสินใจกดดอกเบี้ยนโยบายลงต่ำ พร้อมทั้งเพิ่มปริมาณสภาพคล่อง (QE) ทำให้หุ้นของประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว จนเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาของ ‘ตลาดกระทิง’ ที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
ตัดภาพมาในปี 2565 เรื่องราวต่างๆ ดูเหมือนจะพลิกผันไปค่อนข้างมาก ปัจจัยการลงทุนมหภาคกลับดูแย่ลงในหลายแง่มุม ทั้งเรื่องของสงคราม การขึ้นดอกเบี้ย การดูดสภาพคล่องออก และยังรวมไปถึงเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงมากในรอบหลายสิบปี
ความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) เข้ามาปกคลุมตลาดอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกดดันให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกติดลบไปตามๆ กัน ตลอด 5 เดือนแรกของปีนี้ (ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565)
- ดัชนี MSCI World เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว -13%
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี Dow Jones -10%, ดัชนี S&P 500 -13% และดัชนี Nasdaq -24%
- หุ้นยุโรปอย่าง ดัชนี Euro Stoxx 600 -9%
- หุ้นจีนอย่าง ดัชนี CSI 300 -17%, หุ้นญี่ปุ่นอย่าง ดัชนี Nikkei 225 -6%, หุ้นเกาหลีใต้ ดัชนี KOSPI -10%
- หุ้นอินเดีย ดัชนี Nifty 50 -4.4% และหุ้นไทย ดัชนี SET +0.3%
แม้ว่าแต่ละประเทศจะเผชิญกับปัจจัยมหภาคคล้ายๆ กัน แต่ตลาดหุ้นของแต่ละประเทศกลับตอบสนองมากน้อยแตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยเฉพาะตัวของแต่ละประเทศ และในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ความแตกต่างของปัจจัยเฉพาะตัวก็จะยังคงมีให้เห็นต่อเนื่อง เช่น ความช้าเร็วของการก้าวผ่านโควิดอย่างสมบูรณ์ การเริ่มต้นเปิดรับนักท่องเที่ยว การเตรียมอัดฉีดเศรษฐกิจอย่างเต็มตัว และบางประเทศตลาดหุ้นก็ได้ปรับฐานจน Valuation ของหุ้นเข้าสู่ระดับที่ไม่แพงแล้ว สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าในวิกฤตยังมีโอกาสอยู่เสมอ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่วางแผนการลงทุนระยะยาว เพราะอาจจะเป็นโอกาสที่จะได้ซื้อของดีในราคาไม่แพง
‘กองทุนรวม’ เครื่องมือที่ช่วยค้นหาโอกาส
ผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ทำให้แนวคิดการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถกระจายเงินลงทุนออกไปแต่ละประเทศแบบไม่ยุ่งยาก และลดความเสี่ยงกับการเลือกหุ้นที่ไม่คุ้นเคยเป็นรายตัว คือ Index Fund หรือกองทุนรวมที่อิงกับดัชนี
Index Fund จะลงทุนในหุ้นทุกตัวที่ประกอบกันเป็นดัชนี และบริหารโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ (Passive Management) ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง ซึ่งปัจจุบัน Index Fund ได้เปิดโอกาสให้เราสามารถกระจายการลงทุนไปยังตลาดหรือดัชนีสำคัญๆ ทั่วโลก อย่างเช่นดัชนีของตลาดต่างๆ ที่ได้ยกตัวอย่างไปข้างต้น
หลายคนอาจจะมีคำถามว่าจริงๆ แล้ว Index Fund เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวอย่างเดียวใช่หรือไม่ แน่นอนว่า Index Fund สามารถตอบโจทย์การลงทุนระยะยาวได้เป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งจากค่าธรรมเนียมบริหารจัดการที่ถูกกว่ากองทุนเชิงรุก (Active Fund) และเป็นการลงทุนที่ล้อไปกับการเคลื่อนไหวของแต่ละดัชนี ซึ่งจากสถิติแล้วดัชนีหุ้นมักจะเติบโตได้ระยะยาว
ในขณะเดียวกันนักลงทุนระยะสั้นที่เน้นซื้อขายทำกำไรก็สามารถใช้ Index Fund เป็นเครื่องมือในการลงทุนได้เช่นกัน โดยการหาโอกาสตามกระแสของดัชนีที่เป็นขาขึ้นหรือฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ Index Fund อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ซึ่งอาจจะยังมีประสบการณ์น้อย มีข้อจำกัดในการหาข้อมูล
จุดเด่นของ Index Fund ที่เราเห็นได้ชัดเจน คือ
- ค่าธรรมเนียมถูกกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนประเภทอื่นๆ ทำให้นักลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนสูงขึ้นในระยะยาว
- เป็นการกระจายลงทุนในหุ้นใหญ่หลายบริษัท ซึ่งส่วนมากแล้วมักจะเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี มั่นคง และมีโอกาสเติบโต
- มีทางเลือการลงทุนที่หลากหลายในหลายประเทศหรือทวีป ช่วยสร้างโอกาสตามรอบการฟื้นตัวและเติบโตของแต่ละประเทศได้
- กระจายความเสี่ยง ช่วยลดความเสี่ยงการลงทุนในหุ้นรายตัวลง
โอกาสของการลงทุนใน Index Fund มาถึงแล้วหรือยัง
ตามวัฏจักรของตลาดหุ้น เมื่อตลาดหุ้นใดๆ ปรับลดลงจนถึงจุดต่ำสุดของรอบ จากนั้นจะเริ่มเป็นช่วงพักตัว ซึ่งอาจจะเคลื่อนที่ออกข้าง (Sideway) อีกสักระยะ จึงเป็นจุดกลับตัวเข้าสู่ขาขึ้นอีกครั้ง วิธีการหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนประเมินจุดกลับตัวของแต่ละตลาดเพื่อทยอยเข้าซื้อตามเป้าหมาย คือติดตามปัจจัยการลงทุนของแต่ละประเทศ เมื่อตลาดหุ้นรับข่าวปัจจัยลบต่างๆ จนกระทั่ง Price In เข้าไปในดัชนีอย่างเต็มที่แล้ว นั่นจะเป็นจังหวะที่ดีในการเริ่มทยอยสะสม
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงฟื้นตัวได้ดีและยังได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครนน้อยกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรป แต่ตลาดหุ้นก็ยังถูกกดดันจากอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่พุ่งสูงและนโยบายการเงินที่เข้มงวด ทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และการลดสภาพคล่อง ประมาณการว่าภายในช่วงไตรมาส 3 เราจะได้เห็นจุดสูงสุดของอัตราเงินเฟ้อพร้อมกับประมาณการจุดสูงสุดของ Bond Yield ซึ่งเมื่อผ่านจุดสูงที่สุด นั่นจะเป็นช่วงเวลาที่หุ้นสหรัฐฯ กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
ตลาดหุ้นยุโรป เป็นทวีปที่ได้รับผลกระทบทางตรงจากสงครามรัสเซียและยูเครน โดยเฉพาะความมั่นคงด้านพลังงาน ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานและอาหารพุ่งสูง อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น จนกดดันให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดแนวทางเดียวกันกับสหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันต่อตลาดหุ้น ถือว่าเป็นทวีปที่ยังคงรับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากสงคราม
ตลาดหุ้นจีน เพิ่งผ่านความบอบช้ำจากมาตรการปิดเมืองใหญ่อย่างเข้มข้นเพื่อควบคุมโควิด รวมทั้งนโยบาย Zero COVID ทำให้จีนยังคงปิดประเทศต่อไป ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนปีนี้ชะลอตัวลง จึงมีโอกาสสูงที่รัฐบาลจีนอาจจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน และการอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ซึ่งสวนทางกับอเมริกาและยุโรป ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นหลังจากปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Valuation หุ้นจีนจะเข้าโซน ‘ถูก’ แล้ว แต่ตลาดหุ้นจีนยังคงมีความเสี่ยงสำคัญให้ติดตามอีก 2 เรื่อง คือความเสี่ยงจากมาตรการกำกับดูแลโดยรัฐ (Regulatory Risk) ในกิจการบางประเภท และความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของภาคอสังหาริมทรัพย์
ตลาดหุ้นไทย ด้วยสถานการณ์โควิดที่ดีขึ้นมากและอัตราการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ไทยกำลังผ่อนคลายการล็อกดาวน์โดยลำดับ นำไปสู่การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีหลัง ช่วยให้มีโอกาสฟื้นตัวได้จากการเปิดดำเนินการธุรกิจเต็มตัว
เริ่มต้นลงทุนใน Index Fund ไม่ยาก ผ่าน SCB Easy
ลงทุนเกาะดัชนีไปกับ SCB Index Funds บน SCB Easy ลงทุนง่าย ที่เดียวจบครบทุกตลาดหุ้นชั้นนำ มีกองทุนหลากหลายให้เลือกมากถึง 19 กองทุน ครอบคลุมทุก Index Fund เข้าถึงทุกตลาดหุ้นชั้นนำทั่วโลกกว่า 10 ตลาด 4 ทวีป ได้แก่
- ลงทุนหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก: SCBWORLD(A)
- ลงทุนตลาดหุ้นอเมริกา: SCBS&P500 SCBDJ(A) และ SCBNDQ(A)
- ลงทุนตลาดหุ้นยุโรป: SCBEUEQ
- ลงทุนตลาดหุ้นเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น: SCBAX(J)
- ลงทุนตลาดหุ้นเอเชีย: จีน SCBCHA SCBCEH, ญี่ปุ่น SCBNK225, เกาหลีใต้ SCBKEQTG, อินเดีย SCBINDIA และไทย SCBSET, SCBSET50
ปัจจุบันนักลงทุนสามารถเลือก Index Fund ได้ผ่านแอปพลิเคชัน SCB Easy โดยไม่ต้องเปิดบัญชีแยก ไม่ต้องไปสาขา และไม่ต้องโหลดแอปเพิ่มเติม โดย 3 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อเริ่มลงทุนผ่าน SCB Easy คือ
- เปิดบัญชีกองทุนผ่าน SCB Easy App
- ผูกบัญชีกองทุนบน SCB Easy App
- ซื้อกองทุนผ่าน SCB Easy App
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/investment/fund/mutual-funds/index-fund.html
หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน