SCB CIO คาดตลาดอาจผันผวนสูง หลัง Fed มีแนวโน้มประกาศทำ QT ในการประชุมปลายเดือนมกราคม และเริ่มทำจริงกลางปี 2022 โดยมีลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป ควบคู่ไปกับการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วง 2 ปีข้างหน้า แนะนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุเฉลี่ยต่ำกว่า 2 ปี ส่วนนักลงทุนที่รับความผันผวนได้แนะทยอยสะสมหุ้นที่มีการปรับตัวลง เน้นหุ้น Quality Growth ในตลาดยุโรป สหรัฐฯ และเวียดนาม มีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ
กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB Chief Investment Office (SCB CIO) เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เตรียมปรับนโยบายการเงินตึงตัวเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้และเร็วกว่าการปรับนโยบายในรอบปี 2017-2019 จากปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมากกว่าที่คาดไว้ ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้ Fed เตรียมปรับทิศทางการทำนโยบายจากการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่การจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อเต็มตัว โดยคาดว่า Fed จะลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (Quantitative Easing Taper) เสร็จสิ้นในเดือนมีนาคมนี้ และเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในเดือนเดียวกัน
SCB CIO คาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2022-2023 ปีละ 3 ครั้ง และในปี 2024 อีก 2 ครั้ง นอกจากนั้นหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ได้เปิดเผยในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาว่า น่าจะมีการทำการลดขนาด Balance Sheet (Balance Sheet Runoff หรือ Quantitative Tightening: QT) เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
โดยปัจจัยที่ตลาดให้ความสำคัญในช่วงเวลานี้คือ การเปิดเผยรายละเอียดการทำ QT ที่น่าจะเกิดขึ้นในการประชุม FOMC วันที่ 25-26 มกราคมนี้ ทั้งนี้ SCB CIO คาดว่าการทำ QT น่าจะเริ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2022 และจะเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วง 2 ปีข้างหน้า แต่ในรอบนี้ Fed จะทำนโยบายการเงินตึงตัวเร็วกว่าในช่วงปี 2017-2019 เนื่องจากได้มีการอัดฉีดสภาพคล่องที่เร็วและแรงกว่ารอบที่แล้ว (Balance Sheet ของ Fed ล่าสุดสูงถึง 8.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าในช่วงก่อนเกิดโควิดถึง 2 เท่า) รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานที่เร็วและแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่มีมากกว่า
ทั้งนี้ บทเรียนจากการทำ QT ของ Fed ในช่วงปี 2017-2019 SCB CIO ระบุว่า การประเมินผลกระทบของ QT ในช่วงดังกล่าวต้องแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรก เดือนกันยายน 2017 – มิถุนายน 2018 และช่วงที่สอง เดือนกรกฎาคม 2018 – กรกฎาคม 2019 เนื่องจากช่วงที่2 มีผลกระทบของสงครามการค้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยหากพิจารณาภาวะตลาดการเงินในช่วงแรกที่มีผลของ QT เป็นหลักนั้นจะพบว่า
- ตลาดการเงินโลกผันผวนสูงในช่วงที่เริ่มมีการทำ QT ไปแล้ว 1-2 ไตรมาส
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสั้นเร่งตัวขึ้นเร็วกว่าพันธบัตรระยะยาว เนื่องจากมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ทำให้เกิด US Treasury Yield Curve มีลักษณะ Flattening อย่างต่อเนื่อง
- ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเร่งตัวขึ้นในช่วงแรกที่มีการทำ QT เป็นแรงกดดันต่อค่าเงินสกุลอื่นๆ โดยเฉพาะใน EMs
- ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง 1-2 ไตรมาสหลังทำ QT โดยมี Max Drawdown อยู่ระหว่าง 10%-20%
- หุ้นในกลุ่ม Growth และกลุ่ม Value ปรับตัวลดลงทั้งสองประเภท โดยมี Max Drawdown ไม่ต่างกันมากนัก แต่หุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งมีการฟื้นตัวที่เร็วกว่าโดยเฉลี่ย
กลยุทธ์การปรับพอร์ตในช่วงที่มีการทำ QT ทาง SCB CIO แนะนำว่า สำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนได้น้อยในช่วงนี้อาจต้องลดสัดส่วนของสินทรัพย์เสี่ยงลงบ้าง โดยเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มี Duration น้อยกว่า 2 ปี
ส่วนนักลงทุนที่รับความผันผวนได้ เรายังเน้นให้ลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าตลาดพันธบัตร เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น โดยในตลาดพันธบัตรควรเน้นลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มี Duration น้อยกว่า 2 ปี และเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้เอเชีย High Yield ที่มีหุ้นกู้จีน High Yield
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นแนะนำใช้กลยุทธ์ทยอยสะสมในช่วงที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง (Buy on Dip)
- แม้ตลาดหุ้นและหุ้นในแทบทุกสไตล์จะได้รับผลกระทบจากการทำ QT แต่หุ้น Quality Growth ในตลาดยุโรปและสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ
- การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเป็นอีกแรงกดดันต่อตลาดหุ้น ตลาดเกิดใหม่ (EM) อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่า ประเทศ EM ที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต่อเนื่อง เช่น ตลาดหุ้นเวียดนาม น่าจะได้รับผลกระทบในระดับที่จัดการได้
- ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มี Valuation ที่ค่อนข้างแพง และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ใน Megatrends เช่น Digital Disruption, Energy Transition และ Shifting Lifestyle รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์ในช่วงที่ Yield Curve ปรับชันเพิ่มขึ้น เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร (โดยเฉพาะธนาคารในยุโรป)
นอกจากนี้สำหรับนักลงทุนในกลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) การลงทุนใน Private Asset เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนและลดความผันผวนแก่พอร์ตโดยรวมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ เช่น ตลาดหุ้นไทย การลงทุนใน Structure Note KIKO (ตราสารอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP