SCB CIO ประเมิน Fed ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงขึ้นอีก เพื่อจัดการเงินเฟ้อ คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ต่อครั้ง ในการประชุม 2 ครั้งข้างหน้า และขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 2.25% ในปี 2565 ซึ่งจะทำให้ ECB ต้องขยับขึ้นดอกเบี้ยตามในครึ่งหลังของปี ส่วนความกังวลเรื่อง Inverted Yield Curve ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดการเงินโลก และอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ด้านการจัดสรรพอร์ตการลงทุน แนะสะสมหุ้นเวียดนามที่ยังคงมีภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และ Asian REITs รองรับแผนเปิดเมืองที่มีความชัดเจนของไทยและสิงคโปร์ พร้อมให้มีเงินสดหรือสินทรัพย์สภาพคล่อง (Neutral) ในพอร์ตโฟลิโอ ส่วนหุ้นสหรัฐฯ รอจังหวะสะสมเมื่อ Valuation เริ่มน่าสนใจ
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ Team Head of SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า รายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่กำหนดควบคุมดูแลเรื่องอัตราดอกเบี้ย (Federal Open Market Committee: FOMC) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงขึ้น รวมถึงการเริ่มนโยบายดึงสภาพออกจากระบบด้วยการปล่อยให้พันธบัตรที่ซื้อมาครบอายุ (Quantitative Tightening: QT)ในไตรมาส 2 นี้ เพื่อจัดการเงินเฟ้อ
SCB CIO ยังคงมุมมองว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 50% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน และคาดว่าในอีก 4 การประชุมที่เหลือของปีนี้ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องครั้งละ 0.25% ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงของ Fed ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง และจะกดดันให้ธนาคารกลางอื่นๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องเร่งส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย โดยคาดว่า ECB จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Depository Rate) 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อจัดการเงินเฟ้อและชะลอการอ่อนค่าของค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ขยับขึ้นเร็วทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นเร่งตัวขึ้นและมีบางช่วงสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว ทำให้ตลาดกังวลภาวะที่เรียกว่า Inverted Yield Curve ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ตลาดการเงินโลกให้ความสำคัญในการพยากรณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)โดยเฉพาะในสหรัฐฯ
โดยจากสถิติในอดีตชี้ว่า การเกิด Inverted Yield Curve ที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 2 ปี สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ไม่ได้ตามมาด้วย Recession ทุกครั้ง และในกรณีที่เกิดจะใช้ระยะเวลาเฉลี่ยถึง 16 เดือน จึงจะเกิดภาวะ Recession ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม Inverted Yield Curve ส่งผลต่อการทำกำไรของธุรกิจภาคการเงินและธนาคาร ซึ่งหากภาคธุรกิจนี้ชะลอการปล่อยสินเชื่อ ก็มีโอกาสจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง
SCB CIO ได้วิเคราะห์ผลตอบแทนสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ในช่วงที่ตลาดกังวล Inverted Yield Curve ในสหรัฐฯ และพบว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบเชิงลบจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรระยะสั้นจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนามีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกและใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 11 เดือน S&P 500 ถึงจะเข้าสู่จุดสูงสุด โดย 6 เดือนหลังจากเกิด Inverted Yield Curve ดัชนี Russell 1000 บ่งชี้ว่า หุ้นในกลุ่ม Growth ให้ผลตอบแทนสูงกว่ากลุ่ม Value เล็กน้อย ส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมใน S&P 500 พบว่า กลุ่ม Utilities, Financials, Industrials, Healthcare และ Technology ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ
ดร.กำพล กล่าวเพิ่มว่า กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ การจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ (Asset Allocation) มีความสำคัญมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนจากการปรับนโยบาย และความไม่แน่นอนสูงจากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์
โดย SCB CIO ยังคงแนะนำให้มีเงินสดหรือสินทรัพย์สภาพคล่อง (Neutral) ในพอร์ตโฟลิโอ ส่วนมุมมองการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ ด้วยแนวโน้มการเปิดเมืองและเปิดประเทศที่ชัดเจนของไทยและสิงคโปร์ รวมถึง Valuation ที่ยังไม่ตึงตัวเกินไป SCB CIO ได้ปรับมุมมอง Asian REITs เป็น Positive และยังคงมุมมอง Neutral สำหรับหุ้นในกลุ่ม DMs เนื่องจากตลาดมีแนวโน้มผันผวนสูงในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า จากสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงในสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจยุโรป
สำหรับตลาด EMs เราคงมุมมอง Positive ต่อตลาดหุ้นเวียดนาม จากการฟื้นตัวแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในไตรมาส 1/65 และ Valuation ที่ยังน่าสนใจ ในขณะที่มีมุมมอง Slightly Positive ต่อหุ้นไทย จาก Valuation ที่เริ่มกลับมาตึงตัว