×

SCB CIO ชี้เงินเฟ้อสูง-ดอกเบี้ยขาขึ้นเสี่ยงฉุด ศก.โลก ถดถอย แนะปรับพอร์ตเพิ่มสัดส่วนสินค้าโภคภัณฑ์และทยอยสะสมหุ้นจีน A-Share

17.06.2022
  • LOADING...
กำพล อดิเรกสมบัติ

SCB CIO คาดเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง และการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง ห่วงความไม่แน่นอนจากสงครามและนโยบายการเงินที่ตึงตัว ทำตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นผันผวน แนะสะสมหุ้นเติบโตยั่งยืนอัตรากำไรสูง บริหารความเสี่ยงเงินเฟ้อด้วยสินค้าโภคภัณฑ์และทยอยสะสมหุ้นจีน A-share

 

กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงและการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งผลให้เกิดความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศ จาก 3 ปัจจัยหลักที่อาจจะกระทบกับเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาส 3 ประกอบด้วย 

 

  1. สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อต่อราคาพลังงานและอาหาร รวมถึงการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก (Global Supply Chain Disruption) ที่ส่งผลทำให้อัตราเงินเฟ้อจากปัจจัยอุปทานยังอยู่ในระดับสูง แม้จะชะลอลงบ้างในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

 

  1. อานิสงส์การเปิดเมืองไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากต้นทุนการผลิต ต้นทุนทางการเงิน และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณชะลอตัวลง โดยล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.6% ในปี 2022 และ 2023 ในขณะที่ปี 2021 อยู่ที่ 6.1% โดยเฉพาะในยุโรปที่มีความเสี่ยงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคสูงกว่ากลุ่มประเทศอื่นๆ 

 

  1. การเร่งตัวขึ้นเร็วของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น ยิ่งส่งผลให้ตลาดกังวลประเด็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะทำให้ตลาดการเงินโลกยังคงมีความผันผวน จนกว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอลงของเงินเฟ้อ และความชัดเจนในความเร็วของการขึ้นดอกเบี้ยจากธนาคารกลางหลัก เช่น Fed โดย SCB CIO คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วและแรง จนทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ อยู่ระหว่าง 3.25-3.50% เมื่อเทียบกับระดับ 0-0.25% ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา 

 

ส่วนแนวโน้มตลาดการเงินโลก จากความไม่แน่นอนของสงครามและความเร็วในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นมีความผันผวนและอาจเกิดภาวะแรงฉุดจากความผันผวน (Volatility Drag) ในพอร์ตโฟลิโอได้ เนื่องจากคาดว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรจะเพิ่มขึ้นในระดับที่ชะลอตัวลง หลังจากที่ตลาดมีการรับรู้หรือ Priced-in เรื่องเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยไปบ้างแล้ว และเริ่มกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลง 

 

ทั้งนี้ ความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยที่สูงขึ้นจะเข้ามากดดันการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลัง ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ผลประกอบการอาจจะถดถอย และกับดักด้านมูลค่า (Valuation Trap) จึงเป็นโอกาสในการจับจังหวะทยอยสะสมหุ้นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน อัตรากำไรสูง และสามารถส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นได้ 

 

กำพลกล่าวต่อไปว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนสูง SCB CIO ยังคงแนะนำให้มีเงินสดในพอร์ตโฟลิโอสัดส่วนประมาณ 5-10% และเมื่อการขยับขึ้นของเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง แนะนำให้ทยอยสะสมพันธบัตรระดับ Investment Grade ในสัดส่วน 20-30% เพื่อสร้างกระแสรายได้ให้กับพอร์ตโฟลิโอ 

 

ด้านตลาดหุ้น ยังคงมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากผลประกอบการยังฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ในระยะข้างหน้าจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อสูงและการเร่งตัวของดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยยังคงมุมมองหุ้นยุโรปเป็นลบเล็กน้อย (Slightly Negative) จากผลกระทบที่ยืดเยื้อของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป 

 

ขณะที่กลุ่ม Emerging Market คงมุมมองเป็นบวกเล็กน้อย (Slightly Positive) ต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนหลังมีการทยอยเปิดเมืองและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีความเสี่ยงในด้านเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยต่ำกว่ากลุ่มประเทศอื่นๆ 

 

ส่วนไทยและเวียดนาม ปรับมุมมองเป็นบวกเล็กน้อย เนื่องจากแม้จะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ แต่อาจจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น และปรับ Asian REITs เป็นกลาง เนื่องจากผลกระทบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นเช่นกัน

 

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการจัดการความเสี่ยงเงินเฟ้อ SCB CIO ยังปรับมุมมองต่อสินค้าโภคภัณฑ์เป็นบวก (Positive) โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร ที่อุปทานมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่องจากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการห้ามส่งออกอาหารในหลายประเทศ ในขณะที่ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง แต่การปรับตัวขึ้นน่าจะถูกกระทบจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย 

 

สำหรับลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (High Net Worth / Ultra High Net Worth) การมีสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Assets) เช่น หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structure Note) และสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) อยู่ในพอร์ตจะช่วยสร้างกระแสรายได้และลดความผันผวนของพอร์ตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ความไม่แน่นอนในตลาดเงินโลกยังอยู่ในระดับสูง 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising