×

SCB CIO เปิดชื่ออุตสาหกรรมส่อแววร่วงในปี 2025 พร้อมเจาะ 5 อุตสาหกรรมเด่นที่ยังลงทุนได้ในปีหน้า

26.12.2024
  • LOADING...

ปี 2025 ถือเป็นปีที่การลงทุนมีความท้าทาย เพราะ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาติดตามการวิเคราะห์ว่าอุตสาหกรรมไหนจะโดดเด่น และอุตสาหกรรมไหนจะส่อแววร่วง

 

ชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM Head of Investment Consultant SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า อุตสาหกรรมที่น่าจับตามองสำหรับการลงทุนในปี 2025 มีหลายอุตสาหกรรมดังนี้

 

1. Generative AI ปัจจุบันถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การทำงานต่างๆ สะดวกและง่ายขึ้น โดยเห็นพัฒนาการตลอดปี 2024 และน่าจะมีพัฒนาการต่อเนื่องในปี 2025 เช่น OpenAI มีการพัฒนา ChatGPT เวอร์ชัน 1o ออกมา มีความสามารถในการช่วยคิดแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ รวมถึงมีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนได้มากขึ้น ขณะที่ Google มี Gemini ที่มีการออกเวอร์ชัน 2.0 มาแข่งขันกับ ChatGPT

 

นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้าของคู่แข่งรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรม Generative AI ที่ทยอยออกมาเพิ่มขึ้น เช่น Anthropic ที่พัฒนาแชตบอต AI ชื่อ Claude โดยได้รับการสนับสนุนจาก Amazon รวมทั้ง Microsoft ที่มีการพัฒนา AI ในชื่อ Microsoft Copilot และ Meta ยังมีการเปิดตัว AI ในชื่อ Llama ซึ่งเปิดให้คนทั่วไปทดลองใช้งานได้แล้วในแอปพลิเคชัน Facebook กับ Messenger

 

โดยจะเห็นว่าในปีนี้ Generative AI มีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้เล่นรายใหญ่ในกลุ่มทั้ง Google, Microsoft, Amazon, Meta ต่างประกาศใช้งบลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI ในปี 2025 เป็นหลักหมื่นล้านดอลลาร์

 

อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่า OpenAI เตรียมตัวที่จะขายหุ้น IPO ในปี 2025 ด้วย จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้กระตุ้นดึงดูดความน่าสนใจในการระดมทุน

 

“ในปี 2025 เชื่อว่าผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรม Generative AI น่าจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆ และมีการแข่งขันออกมาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าจับตามอง”

 

2. Quantum Computer โดยเริ่มเห็น Google แถลงข่าวเปิดตัวชิป Quantum ชื่อ Willow ที่มีความสามารถและประสิทธิภาพในการคำนวณแก้ปัญหาทางควอนตัมที่มีความซับซ้อนโดยใช้เวลาในการแก้ปัญหาภายในระยะเวลา 200 วินาที ลดลงจากปกติที่ใช้ระยะเวลาหลักหลายล้านล้านปี ถือเป็นการพลิกโฉมอุตสาหกรรม Quantum Computer ซึ่งเดิมเป็นเพียงคอนเซปต์มาเป็นระยะเวลายาวนาน ส่งผลให้ปัจจุบันเริ่มมีความเป็นไปได้เกิดขึ้นจริงในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ให้สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้

 

ทั้งนี้ การเกิดขึ้นของ Quantum Computer จะสนับสนุนให้งานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เช่น การถอดรหัสพันธุกรรม การวิเคราะห์โปรตีนสำหรับใช้พัฒนายารักษาโรค การจำลองคนต่างๆ การวิเคราะห์วิจัยของข้อมูลซึ่งในอดีตไม่สามารถทำได้ให้สามารถทำได้ในอนาคต

 

โดยคาดว่าในปี 2025 จะเริ่มเห็นการลงทุนในอุตสาหกรรม Quantum Computer เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มบริษัท 7 หุ้นนางฟ้า (The Magnificent Seven) มีเพียง Google บริษัทเดียวที่ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ ส่วนอีก 6 บริษัทยังไม่ประกาศลงทุนในอุตสาหกรรม Quantum Computer ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเห็นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต

 

จับตา AI-Quantum Computer ดันดีมานด์พลังงานโตแรง

 

3. Zero Cost Energy หรือพลังงานที่มีราคาต่ำ สืบเนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรม Generative AI กับ Quantum Computer ทำให้มีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศ เช่นในสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงจะขาดแคลนพลังงาน ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าทั้ง Google, Microsoft, Amazon และ Meta มีการขยับขยายการลงทุนไปสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เอง รวมถึงความร่วมมือในการจัดหาพลังงานต่างๆ เพิ่มขึ้น

 

นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ขยายฐานการลงทุนในการพัฒนาสำนักงานวิจัยและ Data Center ต่างๆ ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เช่น ในไทยและเวียดนาม ซึ่งสะท้อนว่าพลังงานในสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะขาดแคลน ดังนั้นจึงมีความพยายามในการแสวงหาแหล่งพลังงานที่มีราคาต่ำและเพียงพอเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า

 

ค่ายรถยนต์สันดาปยังเสี่ยงสูง เร่งควบรวมกิจการเอาตัวรอด

 

4. อุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มเห็นแนวโน้มค่ายผลิตรถยนต์กลุ่มสันดาปต่างๆ มีการผลิตลดลง อีกทั้งเริ่มเห็นผู้ผลิตรถยนต์อีวีเข้ามาแย่งมาร์เก็ตแชร์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเริ่มเห็นว่าหลายบริษัทรถยนต์สันดาปกำลังประสบปัญหาทางธุรกิจ เช่น Volkswagen ที่มีการปรับลดพนักงาน รวมถึง Honda กับ Nissan ที่สถานการณ์ธุรกิจถูกบังคับให้ต้องควบรวมกิจการ โดยประเมินว่าภาพดังกล่าวในปี 2025 น่าจะมีสถานการณ์ที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น

 

เนื่องจากค่ายรถยนต์อีวีต่างๆ เริ่มมีการพัฒนาระบบรถยนต์อัตโนมัติ (Autonomous Driving) เช่น Tesla ขณะที่ Waymo ประกาศแผนงานนำรถแท็กซี่ไร้คนขับเริ่มทดสอบและมีแผนให้บริการเพิ่มมากขึ้น

 

ทั้งนี้ จะส่งผลให้ค่ายรถยนต์ที่ไม่มีเทคโนโลยี Autonomous Driving ในอนาคตทำการแข่งขันได้ยากขึ้น อีกทั้งมีโอกาสเห็นการควบรวมกิจการของแบรนด์รถยนต์เพิ่มสูงขึ้น หรือมีการแย่งชิงมาร์เก็ตแชร์ของค่ายรถยนต์อีวีต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเปิดตัวแท็กซี่ไร้คนขับของ Tesla จะทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2025 มีความน่าสนใจในการลงทุน

 

อย่างไรก็ดี อาจมีผลกระทบในเชิงลบมากพอสมควรต่ออุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกลุ่มธุรกิจ Drive Sharing และ Delivery เช่น Uber และ Grab

 

ดังนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องติดตาม เพราะมีทั้งกลุ่มที่ได้รับประโยชน์และกลุ่มที่เสียประโยชน์จากการพัฒนาของเทคโนโลยี

 

Digital Asset รับอานิสงส์นโยบาย ‘ทรัมป์’

 

5. Digital Asset เนื่องจากในปีหน้า โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์มีนโยบายสนับสนุนด้าน Digital Asset รวมทั้งสหรัฐฯ กำลังจะมีการเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ ซึ่งผู้ที่จะมารับตำแหน่งก็มีนโยบายสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น โดยยังคงต้องติดตามสหรัฐฯ ว่าจะมีการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกลุ่ม Digital Asset หรือไม่

 

ชาตรีกล่าวต่อว่า สำหรับคำแนะนำหรือวิธีการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมทั้ง 5 กลุ่มดังกล่าวที่มีความสะดวกและมีความปลอดภัย ให้เน้นการลงทุนในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น The Magnificent Seven

 

รวมถึงยังสามารถเข้าไปลงทุนในดัชนี S&P 500 หรือ Nasdaq 100 ซึ่งก็ครอบคลุมทั้ง 5 กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวด้วยเช่นกัน

 

อย่างไรก็ดี หากนักลงทุนมีมุมมองว่าหุ้นกลุ่มเจ็ดนางฟ้ายังมีสัดส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมทั้ง 5 อุตสาหกรรมดังกล่าวไม่มากพอ อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวม หรือกองทุน ETF ที่ตั้งขึ้นมาลงทุนในอุตสาหกรรมเฉพาะทั้ง 5 กลุ่มดังกล่าวข้างต้น ซึ่งสามารถเลือกลงทุนในเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความสนใจได้ด้วยเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่สูงมากขึ้น อาจเลือกลงทุนในกลุ่มสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับทั้ง 5 อุตสาหกรรมนี้ได้ ซึ่งปัจจุบันมีหลายบริษัทที่กำลังเป็นดาวรุ่ง โดยเลือกลงทุนได้ในตลาดของสหรัฐฯ แต่แนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน เพราะจากกระแสความนิยมที่ได้รับในการลงทุนจะส่งผลให้ราคาหุ้นอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมปัจจุบันที่ยังไม่สร้างรายได้เข้ามาทันที เพราะเป็นคอนเซปต์ของการลงทุน เช่น Quantum Computer รวมทั้งอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนที่สูงคือกลุ่ม Zero Cost Energy ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องใช้ความระวังในการลงทุนมากกว่าปกติ

 

ชาตรีกล่าวต่อว่า อุตสาหกรรมที่มีความน่าสนใจในการลงทุนอีกกลุ่มซึ่งถือเป็นรากฐานของทั้ง 5 อุตสาหกรรมดังกล่าวคือ เซมิคอนดักเตอร์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายซัพพลายเชน ทั้งผู้ประกอบการในฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชียคือไต้หวันกับเกาหลีใต้ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากพัฒนาการของทั้ง 5 กลุ่มอุตสาหกรรมข้างต้น ซึ่งหากหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้น นักลงทุนสามารถพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นของยุโรปและเอเชียได้เช่นกัน

 

“เทรนด์ของทั้ง 5 อุตสาหกรรมนี้ไม่ได้จบแค่ปี 2025 ประเมินว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องไปถึงปี 2030 มองว่าดีมานด์ของเซมิคอนดักเตอร์จะยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนสถานการณ์โอเวอร์ซัพพลายที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ ดีขึ้นและทยอยจบปัญหาได้ ส่วนนักลงทุนที่ถือครองในหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์อยู่แล้วแม้ว่าปัจจุบันจะยังขาดทุน แต่เชื่อว่ายังสามารถถือครองลงทุนระยะยาวต่อไปได้ ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นกลุ่มนี้ในพอร์ตมองว่าเป็นโอกาสในการลงทุน เพราะเทคโนโลยีต่างๆ จำเป็นต้องใช้เซมิคอนดักเตอร์เป็นรากฐานในการพัฒนาเทคโนโลยี”

 

ภาพ: Tada Images / Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X