ทุกธุรกิจล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากเชื้อโควิด-19 กันถ้วนหน้า แต่ดูเหมือนว่าราคาที่ดินและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนไม่น้อยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่ราคาที่ดินยังคงปรับสูงขึ้นเรื่อยๆ สวนกระแสความซบเซาของเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับการเปิดเผยตัวเลขยอดขายของผู้ประกอบการธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ทยอยให้ข้อมูลกันอย่างคึกคัก
SC Asset (SC) หรือ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจของผลการดำเนินงานของพวกเขาในปี 2563 ที่ผ่านมา โดยพบว่าบริษัทสามารถทำยอดขายพรีเซลได้รวมตลอดทั้งปีที่ 16,602 ล้านบาท สูงสุดเป็นสถิติ New High ใหม่ของบริษัท
แบ่งเป็นยอดขายในโครงการแนวราบที่ 89% หรือกว่า 14,757 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าที่ 37% ที่เหลืออีก 11% หรือราว 1,848 ล้านบาท เป็นโครงการแนวดิ่ง
ตัวเลขดังกล่าวยังส่งผลให้ SC Asset ครองส่วนแบ่งตลาดของบ้านเดี่ยวในราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปในลำดับที่ 1 โดยมี Market Share ที่ 26% จากเดิมที่ปี 2019 พวกเขาเคยครองส่วนแบ่งนี้ที่ 17% ที่น่าสนใจก็คือ ส่วนแบ่งตลาดของพวกเขาในทุกเซกเมนต์ราคาของโครงการแนวราบยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
โดย ณ สิ้นปี 2563 ที่ผ่านมา SC Asset ได้จำหน่ายโครงการของพวกเขา Sold Out ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 6 โครงการ และยังเหลือโครงการอีกรวม 58 แห่ง คิดเป็นมูลค่ากว่า 40,500 ล้านบาท
สำหรับในปี 2564-2565 นี้ ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศแนวคิดการดำเนินธุรกิจของ SC Asset แบบ ‘Fully-Loaded’ ตั้งเป้าขึ้นเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับหนึ่งให้ได้ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ พร้อมเตรียมทุ่มเงินลงทุนอีกกว่า 25,000 ล้านบาทใน 2 ปีต่อจากนี้เพื่อรุกโครงการแนวราบแบบจัดหนัก
3 ความพร้อมที่ SC Asset ชูว่าจะอยู่ในกลยุทธ์ Fully-Loaded ประกอบไปด้วย
- ความพร้อมด้านที่ดิน – เตรียมโอนที่ดินจำนวนมากกว่า 30 แปลงเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบ ด้วยมูลค่ารวมกว่า 35,000 ล้านบาท ครอบคลุมทุกระดับราคาทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑล
- ความพร้อมด้านสภาพคล่อง – มีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมกับระดับหนี้หรือ D/E ที่ลดเหลือ 1.38 จาก 1.58 ในปี 2562
- ความพร้อมของสินค้า -ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าตามปรัชญาแบรนด์ ‘For Good Mornings’ หรือการสร้างทุกเช้าที่ดีให้ลูกค้าทุกคน ครอบคลุมใน 3 แกนหลัก ตั้งแต่การออกแบบ, เทคโนโลยี และโซลูชันความเป็นอยู่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุค New Normal พร้อมรองรับกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นภายในบ้าน ดังนี้
ในเชิง ‘งานออกแบบ’ (Design) ณัฐพงศ์ระบุว่า SC Asset มีความหลากหลายในแง่ของตัวผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือกในทุกๆ ระดับราคา พร้อมกับพัฒนาฟังก์ชันสำหรับผู้ใช้งานในทุกเจเนอเรชัน เพื่อรองรับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมากขึ้น และการทำกิจกรรมหลากหลายร่วมกันอย่างลงตัว
โดยในปีนี้จะเปิดตัวบ้านในโครงการ VENUE I-D พระราม 9 บ้านสำหรับคน GEN-Y ที่ระดับราคาเริ่มต้นที่ 5-10 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2564 นี้ พัฒนาภายใต้แนวคิด ‘One Size doesn’t Fit All’ บ้านที่ปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ 2 แบบคือ บ้านคนโสด และบ้าน SoU-21
ส่วนในมุมมองด้านเทคโนโลยี (Technology For Good Mornings) SC Asset จะให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นสำคัญคือ ‘สมองของบ้าน’ ผ่านการใช้แพลตฟอร์ม RueJai Home Panel และระบบปฏิบัติการ RueJai OS เพื่อช่วยให้การควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายในบ้านทำได้ง่ายดายด้วยตัวเจ้าของบ้านเอง
‘ชีพจรของบ้าน’ หรือ RueJai Pulse ระบบที่จะเปรียบเสมือนนาฬิกาอัจฉริยะให้กับบ้าน คอยเตือนสถานะความผิดปกติต่างๆ ภายในบ้านให้กับลูกบ้าน เช่น กระแสไฟฟ้าลัดวงจร, ระดับความชื้นผิดปกติ, คุณภาพของอากาศ และแจ้งเตือนผู้อยู่อาศัย ด้วยเทคโนโลยีเซนเซอร์ และ IoT (เริ่มเปิดตัวเซนเซอร์ใน Q2/64)
‘ปัญญาประดิษฐ์ (AI)’ ภายใต้การทำงาน ร่วมกับบริษัท วัลเคน โคอะลิชั่น จํากัด และผู้มีภาวะบกพร่องทางการมองเห็น เพื่อพัฒนาระบบ Speech AI-NLP (Natural Language Processing) และ AI บน Home OS ช่วยให้สามารถสั่งการระบบการทำงานต่างๆ ด้วยเสียงเป็นรายแรกในไทย (เริ่มใช้ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง 2564)
และสุดท้าย ‘โซลูชันด้านความเป็นอยู่’ ผ่านแพลตฟอร์ม RueJai Club ที่จะช่วยให้ลูกบ้านได้รับบริการหลังการขายต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ซึ่งจะมีบริการต่างๆ ให้เลือกใช้งานในโมเดล Subscriptions ทั้งแบบรายครั้งและรายเดือน เพื่อตรวจเช็กสุขภาพบ้าน และบำรุงรักษาบ้านแบบครบวงจร (มีจำนวนผู้ใช้งานลงทะเบียนแล้วกว่า 11,000 ราย รวมการทำธุรกรรมกว่า 600,000 รายการ)
ทั้งนี้ในปี 2564 บริษัท SC Asset ตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งหมดไว้ที่ 20,000 ล้านบาท และรายได้จากการโอนรวมที่ 19,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากโครงการ 69 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 57,500 ล้านบาท แบ่งเป็น 11 โครงการใหม่ (แนวราบ 8 มูลค่า 9,000 ล้านบาท และแนวสูง 3 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท
) มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท
ณัฐพงศ์กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “สองปีต่อจากนี้เป็นปีที่ท้าทาย แต่เรามีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะทำให้ SC มุ่งไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่งและสร้างเช้าที่ดีให้กับลูกค้าทุกคน เราพร้อมที่จะรุกแนวราบแบบจัดหนักเพื่อขึ้นสู่การเป็นแบรนด์บ้านเดียวอันดับหนึ่งของประเทศไทย”
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
