ธุรกิจ Virtual Bank หรือธนาคารเสมือน ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจขอใบอนุญาตตั้งแต่วันนี้ (20 มีนาคม) ไปจนถึงวันที่ 19 กันยายน 2567 ในมุมของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ที่มีแผนจะร่วมทุนกับอีกสองบริษัท ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) และ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ AIS เป็นหนึ่งในกลุ่มทุนที่มีแผนจะยื่นใบสมัครในช่วงหลังจากนี้
สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GULF กล่าวว่า ค่อนข้างมีความพร้อมในขณะนี้ เช่นเดียวกับพันธมิตรอย่างกรุงไทยและ AIS ที่มีความเข้าใจดีในธุรกิจ โดยเฉพาะกรุงไทยที่มีประสบการณ์ในเรื่องการทำระบบธุรกรรมการเงินมาค่อนข้างมาก
“Virtual Bank จะช่วยให้คนเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น เพราะไม่ต้องมีหลักประกัน แต่อาศัยการพิจารณาข้อมูลเครดิตและความสามารถในการกู้ยืมของลูกค้า ขณะที่ดอกเบี้ยอาจจะไม่สูงเท่ากับที่เห็นตามข่าว”
ทั้งนี้ ยอดปล่อยสินเชื่อต่อรายอาจจะไม่สูงนัก เช่น ประมาณ 30,000-50,000 บาท หรืออาจจะ 1-2 แสนบาทต่อราย เพื่อให้คนส่วนมากของประเทศเข้าถึงได้
สำหรับโอกาสในการขยายธุรกิจนี้ส่วนสำคัญจะมาจากฐานลูกค้าของกรุงไทยและ AIS และด้วยการใช้งานที่จะอยู่บนโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก ทำให้ AIS จะช่วยต่อยอดธุรกิจได้มาก
“การแข่งขันในธุรกิจนี้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี โดยเฉพาะผู้ที่ทำระบบได้มีเสถียรภาพ และเปิดให้คนเข้าถึงได้มากที่สุด และเข้าถึงได้ตลอดเวลา”
ส่วนกระแสข่าวที่ว่าอาจมีพันธมิตรรายอื่นเข้ามาร่วมทุนด้วย เช่น บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) สารัชถ์กล่าวว่ายังอยู่ระหว่างการเจรจาและยังไม่ได้ข้อสรุป
สำหรับเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ Virtual Bank จะเรียกเก็บจากลูกหนี้ ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าอาจจะเข้าเงื่อนไขของสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (Nano Finance) ซึ่ง ธปท. กำหนดเพดานไว้ที่ไม่เกิน 33% หรืออาจจะเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ (P-Loan) ที่มีเพดานไม่เกิน 25%
ทิศทางธุรกิจของ GULF หลังจากนี้
ระหว่างการแถลงข่าว สารัชถ์ได้กล่าวถึงธุรกิจอื่นๆ ของ GULF ที่กำลังมุ่งไปหลังจากนี้ ทั้งในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ร่วมทุนกับ Binance ในการตั้ง Binance TH ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย
“เราเองก็รู้จักกับ Binance มาหลายปีแล้ว และค่อนข้างคุ้นเคยกับ Changpeng Zhao (ผู้ก่อตั้ง Binance) ตอนที่เราเข้าไปซื้อ INTUCH และสนใจลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ก็พยายามมองหาคนที่มีความรู้จริงที่สามารถให้ความรู้เราได้ และเป็นพันธมิตรกับเราได้ ก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสได้คุยกับหลายบริษัทที่ล้มหายไปตามข่าว” สารัชถ์กล่าว
ส่วนสาเหตุที่ตัดสินใจเลือก Binance เพราะเห็นว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคง “ในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลที่สำคัญคือต้องมีความโปร่งใสชัดเจน เพราะเงินจะถูกเก็บไว้ใน “Wallet เกือบหมด ระบบเทคโนโลยีก็ต้องเสถียรมาก ซึ่งระบบเทคโนโลยีของ Binance ค่อนข้างดี
“ส่วนตัวเคยถามว่าหากเงินที่ผู้คนนำมาฝากไว้หายไปจะทำอย่างไร เขามั่นใจว่ามีเงินทุนสำรองที่จะรองรับความเสี่ยงในส่วนนี้ได้ และมั่นใจในระบบเทคโนโลยีที่จะป้องกันความเสี่ยงจากเรื่องนี้” สารัชถ์กล่าว
เมื่อถูกถามว่ามีความเห็นอย่างไรต่อทิศทางของตลาดคริปโตหลังจากนี้ สารัชถ์กล่าวว่า “ผมไม่ได้ซื้อเหมือนกัน ก็คงจะผิดหวัง เพราะว่าน่าจะไปต่อได้ ตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของคริปโต แต่ก็ตอบไม่ได้ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง
“ส่วนตัวไม่ได้ลงทุนใน Bitcoin เพราะไม่มีเวลา แต่มีการลงทุนในเหรียญ BNB ไว้พอสมควร” สารัชถ์กล่าว
ด้าน Richard Teng ซีอีโอของ Binance กล่าวว่า หนึ่งในความท้าทายหลักของการพัฒนาอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยและในประเทศอื่นๆ คือเรื่องของกฎเกณฑ์ที่ใช้ในการกำกับดูแล หลังจากความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้หน่วยงานต่างๆ เข้มงวดมากขึ้น
“เราจะบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างไรในขณะที่ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมไปพร้อมๆ กัน ที่ผ่านมาเราได้หารือประเด็นเหล่านี้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของไทยไปพอสมควร แต่ก็มีหลายประเด็นที่ยังเป็นที่กังวล เช่น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลายประเทศอนุญาต แต่ในไทยยังไม่เป็นเช่นนั้น”
โดยภาพรวม Richard เชื่อว่าการพัฒนาของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลจำเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนจากนโยบายรัฐและกฎเกณฑ์ที่เอื้ออำนวย ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ เข้ามาในประเทศ รวมทั้งการให้ความรู้เพื่อสร้างคนที่มีทักษะสูง เพื่อมาต่อยอดเทคโนโลยี
มุ่งธุรกิจดิจิทัลและพลังงานสีเขียว
สารัชถ์กล่าวต่อว่า ธุรกิจดิจิทัลจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่ เช่น AI หรือ Cloud ส่วน GULF ก็เพิ่งลงทุน Data Center ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ AIS และ Singtel ที่น่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2568 โดยธุรกิจนี้จะขยายต่อเนื่องตามความต้องการของผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น
สำหรับธุรกิจพลังงาน GULF จะมุ่งขยายการลงทุนพลังงานสีเขียว สอดคล้องไปกับการสนับสนุนของภาครัฐ อย่างล่าสุดที่รัฐบาลออกนโยบายใหม่คือ Utility Green Tariff เป็นการกำหนดค่าไฟฟ้าคงที่ตลอด 24 ชั่วโมงที่ 4.50 บาทต่อหน่วย ให้กับอุตสาหกรรมต่างประเทศที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย