ตลอด 113 ปี ที่ผ่านมา Samsonite ได้ก้าวมาเป็นหนึ่งในแบรนด์กระเป๋าเดินทางที่ช่วยตอบโจทย์สำหรับนักเดินทางทั่วโลกเรื่องไลฟ์สไตล์ ฟังก์ชัน ดีไซน์ คุณภาพ และความทนทานแบบไร้ทีติที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
แต่กว่าแบรนด์กระเป๋าเดินทางสัญชาติอเมริกันเจ้านี้จะเดินทางมาสู่จุดสูงสุดของวงการได้ ก็ถือว่าต้องเจอบททดสอบมามากมายและมีเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่ปูย่าตายาย คุณพ่อคุณแม่ และของรุ่นเราในยุคปัจจุบัน ซึ่งไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน Samsonite ก็ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับ 1 ของหลายคนพอต้องเลือกกระเป๋าเดินทางและสามารถสร้าง Brand Loyalty ได้อย่างเนี่ยวแน่น ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นและมีผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาในตลาดอยู่ตลอดเวลา
ไทม์ไลน์แบรนด์ Samsonite
แคมเปญยุคแรกของ Samsonite ภายใต้ Jesse Shwayder ผู้ก่อตั้งแบรนด์
The Beginnings
จุดเริ่มต้นของ Samsonite ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1910 ณ เดนเวอร์ เมืองหลวงของรัฐ โคโลราโด ภายใต้วิสัยทัศน์ อันโดดเด่นของนักธุรกิจ Jesse Shwayder ที่ในตอนนั้นหลังจากที่เขาได้ทำงานเป็นเซลล์ ณ บริษัท Seward Trunk Co. เขาก็ได้ตัดสินใจเดินตามความฝัน เปิดบริษัทของตัวเองในชื่อ Shwayder Trunk Manufacturing Company ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง พร้อมกับผลิตหลากหลายสินค้าเพื่อการเดินทาง โดยตั้งแรกเริ่มทาง Jesse Shwayer ก็ถือว่าเป็น Disruptor ของวงการทั้งในเชิง Product Design และการทำการตลาด โดยในสมัยแรกเขาได้ดีไซน์ให้กระเป๋าเดินทางที่ทำมาจากไม้มีความสไตล์ลิชหากเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาด โดยมีการแต่งเติมดีเทลหมุดเล็กและชิ้นมุม (Corner Pieces) เข้าไป ส่วนการทำโฆษณา Jesse Shwayder ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน เห็นได้จากแคมเปญแรกที่เป็นภาพของเขาเองยืนกับผู้ชายอีก 4 คนบนแผ่านกระดานไม้ที่วางเอาไว้บนกระเป๋าเดินทางเพื่อจะสะท้อนถึงความทนทานและการรับน้ำหนักได้ดี ซึ่งถือว่ายังคงเป็นปัจจัยและรากฐานสำคัญของ Samsonite มาจนถึงทุกวันนี้ที่หลายนึกถึงอย่างแรก
กระเป๋ารุ่นไอคอนนิคของ Samsonite ตั้งแต่ยุค 1930 ถึง 1970
Continuing Success
ต่อมา Jesse Shwayder ก็ได้ผลิตกระเป๋าเดินรุ่นใหม่ออกมาแบบไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า Streamlite™ ในปี 1941, กระเป๋า Silhouette™ ในปี 1958 และ The Classic Attaché case เมื่อปี 1963 ที่เป็นทรงบรีฟเคสทำงานสำหรับผู้บริหาร แต่ก็ไม่มีกระเป๋าทรงไหนในยุคนั้นที่ประสบความสำเร็จไปมากกว่ารุ่น Samson ที่เขาตั้งชื่อตามตัวละครในพระคัมภีร์ที่โดดเด่นเรื่องความแข็งแรง ซึ่งต่อมาก็ทำให้ Jesse Shwayder ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Samsonite เมื่อปี 1965
ส่วนหลังจากนั้น Samsonite ก็ไม่เคยหยุดนิ่งและขยายกรอบความเป็นไปได้ของการดีไซน์กระเป๋าเดินทางด้วยรุ่น Saturn™ กระเป๋าเดินทางรุ่นแรกที่ทำมาจาก Polypropylene ที่มีน้ำหนักเบาเมื่อปี 1969, กระเป๋าเดินทาง Silhouette ที่เป็นรุ่นแรกกับการมีล้อ, กระเป๋า Oyster กับตัวล็อคแบบ Three-Point Locking System ที่สามารถทำยอดขายทะลุ 140,000 ใบในปีแรก, กระเป๋า Xylem เมื่อปี 1998 ที่เป็นกระเป๋าแรกของ Samsonite ที่ทำมาจากอาลุมีเนียม และก็ยังมีกระเป๋ารุ่น Cosmolite® เมื่อปี 2008 ที่ชนะรางวัล Red Dot Award สาขา Best of the Best อีกด้วย
กระเป๋า Unimax ไซส์ 18 นิ้วที่มาพร้อมช่องเสียบชาร์จมือถือ
จากซ้าย: คอลเล็กชันพิเศษกับ BOSS, New Balance และ Disney
Current Business Model & Collaborations
อานาจักร์ของ Samsonite ทุกวันนี้ยังถือว่าแข็งแกร่งและมาพร้อมตัวเลือกมากมาย โดยหลักๆ แล้ว Samsonite จะมี 3 ไลน์หลัก Samsonite Black Label ท็อปไลน์ของแบรนด์ที่มาพร้อมเทคโนโลยี เทคนิคและดีไซน์หนือระดับ ต่อด้วยไลน์ Samsonite แบบไอคอนิคคลาสสิคที่เราคุ้นเคยกันดี และก็ไลน์ Samsonite Red ที่โฟกัสไปยังคนรุ่นใหม่กับราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งกระเป๋าเดินทางแต่ละใบของ Samsonite ก็จะมาพร้อมหลากหลายคุณสมบัติที่ล้วนแล้วตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ยุคสมัยปัจุบัน ไม่ว่าจะมี Easy Brake System, Magnetic Zipper, ฟังก์ชันสแกนลายนิ้วมือ, ช่องเสียบชาร์จ USB บวกกับยังมีเครื่องช่างน้ำหนักในตัวด้วยเพื่อไม่ต้องให้กังวลว่าน้ำหนักกระเป๋าจะเกินลิมิตที่โหลดได้ใต้เครื่องบินหรือถือขึ้นเครื่อง
นอกเหนือจากเรื่องฟังค์ชันแล้ว Samsonite ก็ยังไม่ลืมที่จะสนุกไปกับโลกของแฟชั่นและป๊อปคัลเจอร์ด้วย พร้อมกับออกคอลเล็กชัน Collaboration พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นกับแบรนด์รองเท้ากีฬาแห่งยุค New Balance ที่เน้นไปทางกระเป๋าสะพายข้างและกระเป๋าเดินทางแบบไซส์ Carry On เป็นหลักในเฉดสีสันสดใส ต่อด้วยโปรเจ็คกระเป๋าเดินทางเด็กที่ทำกับ Disney หรือจะล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปแบบสดๆร้อนๆ ก็คือไลน์กระเป๋าเดินทางที่ทำกับแบรนด์ชื่อดัง BOSS ที่เล่นกับลวดลาย Monogram และที่จับวัสดุหนัง
ขบวนการด้านความยั่งยืนของ Samsonite
กระเป๋ารุ่น S’Cure ECO Green Grey Edition
Focusing on Sustainability
แต่สิ่งหนึ่งที่น่ายกย่องเกี่ยวกับ Samsonite ก็คือถึงแม้จะมีการผลิตกระเป๋าเดินทางและแอกเซสซอรี่ออกมามากมาย แต่ทางแบรนด์ก็ไม่เคยลืมบทบาทหน้าที่ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดีในมุมของความยั่งยืน โดยเมื่อปี 2018 ทาง Samsonite ก็ได้เปิดตัววัสดุสุดในชื่อ Recyclex™ที่ทำมาจากการรีไซเคิลขวดพลาสติกแบบ 100% และถูกใช้ใน 23 ไลน์สินค้าของแบรนด์ แต่ไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะหนึ่งปีต่อมา ทาง Samsonite ก็ได้เปิดตัว S’Cure ECO Green Grey Edition ซึ่งเป็นกระเป๋าเดินทางแรกของแบรนด์ที่มีการนำขยะในครัวเรือนมารีไซเคิลเป็น Polypropylene สำหรับวัสดุของกระเป๋า
ส่วนเมื่อปี 2022 ทาง Samsonite ก็ได้ริเริ่มโครงการ We Recycle Your Suitcase ในประเทศเบลเยียมและฮอลแลนด์ ซึ่งมีการเชิญชวนให้คนนำกระเป๋าเดินทางแบบ Hard Case ที่ไม่ได้ใช้แล้วมาให้ทางแบรนด์นำไปรีไซเคิล โดยผลลัพธ์ก็เห็นกระเป๋ากว่า 1,290 ใบถูกนำมารีไซเคิลแบละแปรรูปมาเป็นวัสดุอื่นๆ
นอกจากนี้ ทาง Samsonite ยังตั้งเป้าว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง ใช้ไฟฟ้าหมุนเวียนแบบ 100% ภายในร้านและทุกขั้นตอนการผลิตสินค้า พร้อมอยากมีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2025 ส่วนด้านพนักงานบริษัท ทาง Samsonite ก็ตั้งใจว่าในปี 2030 กว่า 40% ของผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดทั่วโลกของบริษัทต้องเป็นเพศหญิง โดยทั้งหมดก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความก้าวหน้าของ Samsonite ที่ไม่ได้อยู่แค่ด้านผลิตสินค้าและทำยอดขาย แต่อยากเป็นแบบอย่างที่ดีด้วยของสังคม
นิทรรศการ Destination Samsonite: Voyaging Through Time ที่ประเทศสิงค์โปร
ณเดชน์ คูกิมิยะ และ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ที่นิทรรศการ Destination Samsonite: Voyaging Through Time
Destination Samsonite: Voyaging Through Time
การเล่าเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์ถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากในยุคสมัยนี้ เพราะคนเจนเนอร์เรชั่นใหม่มักจะตัดสินใจลงทุนซื้อสินค้าบนพื้นฐานของการอยากรู้รากฐานของแบรนด์ จุดยืน นัวตกรรม ความคุ้มค่าในการลงทุน จนกระทั้งประเด็นความยั่งยืน ซึ่งการจัดนิทรรศการแบบ Travelling Exhibition ทั่วโลกก็ถือว่าเป็นการทำ Brand Activation ที่ตอบโจทย์เสมอ ซึ่งล่าสุดทาง Samsonite ก็ได้เดบิวต์นิทรรศการ Destination Samsonite: Voyaging Through Time ที่ประเทศสิงค์โปร ซึ่งมาในรูปแบบ Time Capsule ย้อนเวลาไปเห็นกระเป๋าเดินทางสุดไอคอนิกของ Samsonite ตั้งแต่ยุคสมัย 1930 ที่ได้วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้
โดยในงานมีทั้ง Interactive Timeline ที่เล่าประวัติของ Samsonite และยังมี 3 โซนให้ได้เห็นถึงศักยภาพระดับ Masterclass ของกระเป๋าเดินทาง Samsonite ไม่ว่าจะเป็นโซน Zero Gravity ที่โฟกัสเรื่องความเบาของกระเป๋าเดินทางรุ่น Attrix และ C-Lite ต่อด้วยโซน Discover Durability ซึ่งมีการจำลองวงล้อขนาดยักษ์ที่มีกระเป๋าเดินทางรุ่น Proxis อยู่ด้านใน ให้ผู้เข้าชมนิทรรศการมีส่วนร่วมสัมผัสประสบการณ์ถึงความทนทานผ่านการหมุนวงล้อ ก่อนจะปิดท้ายกับโซน Abstract Terrains ที่ให้ผู้เยี่ยมชมสามารถสัมผัสกับความลากลื่นของล้อกระเป๋ารุ่น Unimax สำหรับทุกความหลากหลายของพื้นผิว
มากไปกว่านั้น เพราะงานเปิดตัวนิทรรศการ Destination Samsonite: Voyaging Through Time เป็นงานระดับ Regional Event ในเอเชีย ทาง Samsonite ก็ได้เห็นถึงความสำคัญของการเชิญศิลปินดาราและอินฟลูเอ็นเซอร์มาร่วมงานด้วยเพื่อสร้าง Brand Awarness โดยมีทั้ง Lee Dong Wook ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ Samsonite เกาหลีใต้, Jeffrey Ngai แบรนด์แอมบาสเดอร์ Samsonite ฮ่องกง, Kiwi Lee Han แบรนด์แอมบาสเดอร์ Samsonite ไต้หวัน, Ayaka Miyoshi นักแสดงจากเรื่อง Alice in Boderland, Heart Evangelista หนึ่งในอินฟลูเอ็นเซอร์ชาวฟิลลิปินที่รับความสนใจมากสุดในวงการแฟชั่นลักชัวรี่ และจากประเทศเทศไทยก็มีคู่รัก ณเดชน์ คูกิมิยะ และ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ มาร่วมงานด้วย
แคมเปญ Styled Tough
The Next Step
สำหรับโปรเจ็คล่าสุดที่ทาง Samsonite ได้เปิดตัวในระดับภูมิภาค Asia Pacific ก็คือแคมเปญชื่อ Styled Tough ที่โฟกัสไปยังกลุ่มมิลเลนเนียลและเจ็น Z ที่ต่างรักการเดินทาง ชอบผจญภัย และใฝ่หาประสบการณ์ทั่วทุกมุมโลกตาม Tagline “Because We’re Made to Go Places” ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ต่างต้องการกระเป๋าเดินทางที่ตอบโจทย์เรื่องความทนทานและฟังค์ชัน แต่ก็มาพร้อมความสไตลลิชด้วย
โดยในแคมเปญเราก็ได้เห็นช่างภาพถูกจับคู่กับกระเป๋ารุ่น C-Lite ที่เน้นความเบาเพื่อความคล่องตัวในการได้ทุกช็อต ต่อด้วยเหล่าบรรดาคอนเทนท์ครีเอทอร์ก็มาพร้อมกับกระเป๋า Unimax ที่โดดเด่นกับเทคโนโลยี Aero-Trac™ Whirl Suspension ระบบเบรกล้อสำหรับทุกพื้นผิว ส่วนสไตล์ลิสท์ก็มากับกระเป๋า Richmond II ที่เน้นความเรียบหรู เตรียมสร้าง Style Statement ทันทีตั้งแต่สนามบินยันการไปออกกอง และปิดท้ายด้วยกระเป๋า Minter ที่แมทช์กับนักผสมเครื่องดื่มหรือที่เรียกว่า Mixologist ซึ่งกระเป๋าเดินทางรุ่นนี้ก็มากับล้อระบบลูกปืนกันสะเทือน Aero-Trac™ II
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล บรรดากระเป๋าในแคมเปญ Styled Tough ก็ถือว่ายังคงเรื่องดีเอ็นเอของแบรนด์ Samsonite ได้หมดในเรื่องของนัวตกรรมเหมือนที่ Jesse Shwayder ได้ทำตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อปี 1910 แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงการมองไปข้างหน้าในเรื่องของดีไซน์เพื่อทำให้เห็นว่า Samsonite ก็ไม่ใช่เป็นแค่แบรนด์กระเป๋าเดินทางระดับตำนานในอดีต แต่ยังคงเป็นอยู่ทุกวันนี้ พรุ่งนี้ และชื่อว่าอีก 113 ปีข้างหน้า
กระเป๋ารุ่น Minter
ภาพ: วรรษมน ไตรยศักดา, Courtesy of Samsonite