หลังมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งยอดสะสมเวลานี้ของประเทศไทยมีจำนวน 43 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วรายแรก เป็นชายไทย อายุประมาณ 35 ปี ขณะที่สถานการณ์ในประเทศไทยเวลานี้ รัฐบาลได้เตรียมมาตรการรองรับในกรณีที่แรงงานจากเกาหลีใต้เตรียมเดินทางกลับประเทศมีจำนวนกว่าหลายพันชีวิต ยิ่งทำให้ภาวะตระหนกในการหาอุปกรณ์ป้องกันเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยเฉพาะ ‘หน้ากากอนามัยทางการแพทย์’ ประชาชนมีความต้องการสูงขึ้นอย่างมากจนเกิดเป็นภาวะขาดตลาดในหลายพื้นที่ และมีประชาชนไปต่อคิวซื้อในร้านขายยาทั่วกรุงเทพมหานคร ขณะที่หน้ากากอนามัยชนิดผ้ากลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเช่นกัน ถึงขนาดที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศจัดอบรมให้ประชาชนผลิตใช้ในครัวเรือนกันเอง
เช้าวันนี้ (4 มีนาคม) ทีมข่าว THE STANDARD ลงพื้นที่สำรวจตลาดหน้ากากอนามัยย่านสำเพ็ง พบประชาชนมาเดินหาซื้อหน้ากากอนามัยจำนวนมาก โดยเฉพาะ ‘หน้ากากอนามัยชนิดผ้า’ หลากสีสันได้รับความนิยม เนื่องจาก ‘หน้ากากอนามัยทางการแพทย์’ ขาดตลาด มีราคาแพง และหายากตามความต้องการที่สูงขึ้น หลายคนซื้อไปในปริมาณมาก
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวยังคงเห็นบางร้านนำหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ออกมาขาย มีประชาชนมาต่อคิวซื้อ ระหว่างนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเข้าตรวจสอบร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์หน้ากากอนามัยดังกล่าว หลังมีประชาชนแจ้งความว่าได้มาซื้อหน้ากากที่นี่ แต่เมื่อนำไปใช้พบว่าเป็นหน้ากากที่ไม่ได้มาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ จับกุม และยึดของกลาง พร้อมดำเนินคดีคนขายตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
ที่ผ่านมากองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคสามารถจับกุมผู้ต้องหา 40 ราย ยึดของกลางเป็นหน้ากากอนามัย 11,993 ชิ้น ดำเนินคดีข้อหาจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร จำหน่ายสินค้าไม่แสดงราคา หรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด (ไม่ติดป้ายแสดงราคา) และกักตุนสินค้าควบคุมโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ขณะเดียวกันยังล่อซื้อผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยทางอินเทอร์เน็ต รวบผู้ต้องหาได้ 2 ราย พร้อมของกลาง 4,350 ชิ้น มูลค่า 66,000 บาท ดำเนินคดีข้อหาจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควรด้วย
สำหรับพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ตามมาตรา 29 ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินการใดๆ โดยจงใจที่จะทำให้ราคาต่ำเกินสมควรหรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการใด หากฝ่าฝืนจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ