×

Sam Smith กับบทสัมภาษณ์ความกดดันเรื่องรูปร่าง และ Non-Binary ที่ไม่แบ่งแยกเพศว่าเป็นหญิงหรือชาย

17.03.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • แซมเล่าว่าตั้งแต่เด็กเขาเผชิญแรงกดดันด้านภาพลักษณ์ร่างกายหรือ Body Image เพราะรูปร่างที่อ้วนกลม ตอนอายุ 8 ขวบเขาขอให้คุณแม่เขียนจดหมายส่งให้อาจารย์ เพื่อจะได้ไม่ต้องว่ายน้ำในวิชาพลศึกษา และเมื่ออายุได้ 11 ปี ปัญหาด้านการโดนล้อและความไม่มั่นใจในตัวเองก็รุนแรงขึ้น จนเขาต้องไปพบแพทย์และมีการดูดไขมันที่หน้าอกตอนอายุ 12 เพราะร่างกายเขาผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไป (ฮอร์โมนหลักของเพศหญิง)
  • แซมยังได้เปิดเผยว่าเขาเป็นคนประเภท Non-Binary ที่ไม่แบ่งแยกเพศว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย โดยบอกว่า “เหมือนมีสงครามขนาดย่อมอยู่ในร่างกายและความคิดฉันเสมอ…บางครั้งฉันก็คิดเหมือนผู้หญิง และบางครั้งก็ถามตัวเองว่า อยากแปลงเพศไหม”

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกเหนือจากเหตุการณ์วินาศกรรมการกราดยิงที่ประเทศนิวซีแลนด์ วงการบันเทิงต่างประเทศเองก็เจอมรสุมรายวันที่หนักหน่วงรอบด้าน ทั้งยังเปิดเผยให้เห็นด้านมืดของ ‘การมีชื่อเสียง’ ที่หลายคนยังพยายามดิ้นรนไขว่คว้า ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสารคดี Leaving Neverland ที่ทำให้ผลงานเพลงของ ไมเคิล แจ็คสัน ถูกแบนเป็นวงกว้างยิ่งขึ้น หรืออีกประเด็นหนึ่งที่อเมริกาเกี่ยวกับการจับกุมและเปิดโปงนักแสดง ลอรี โลลิ และ เฟลิซิตี ฮัฟฟ์แมน จากซีรีส์ Desperate Housewives ที่โกงและจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ลูกตัวเองผ่านเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ ส่วนที่เกาหลีใต้ก็มีประเด็นของ ซึงรี สมาชิกวง BIGBANG ที่มีปัญหาพัวพันเกี่ยวกับการค้าประเวณี

 

แต่ในสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยความมืดมน ก็มีแสงสว่างออกมาจากบทสัมภาษณ์ของนักร้องหนุ่ม แซม สมิธ กับ จามีลา จามิล พิธีกรและนักกิจกรรมทางสังคม ชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดียกับปากีสถาน ผ่านทางแพลตฟอร์ม IGTV ‘@I_Weigh’ ซึ่งในบทสัมภาษณ์กว่า 30 นาที แม้สิ่งที่แซมได้บอกเล่าเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ จะถือว่าหนักหน่วงสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง แต่ก็ถือว่าทรงพลังและมีคุณค่าแก่ทุกคนที่ได้ดู โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ยังคงอยู่ในกรอบและสร้างความกดดันต่างๆ ว่า ‘ความสวย’ ‘ความหล่อ’ หรือ ‘จะประสบความสำเร็จ’ เราต้องดูดีเหมือนคนในป้ายโฆษณาสินค้าที่ติดอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง

 

แซมเล่าว่าตั้งแต่เด็กเขาเผชิญแรงกดดันด้านภาพลักษณ์ร่างกายหรือ Body Image เพราะรูปร่างที่อ้วนกลม ตอนอายุ 8 ขวบเขาขอให้คุณแม่เขียนจดหมายส่งให้อาจารย์ เพื่อจะได้ไม่ต้องว่ายน้ำในวิชาพลศึกษา และเมื่ออายุได้ 11 ปี ปัญหาด้านการโดนล้อและความไม่มั่นใจในตัวเองก็รุนแรงขึ้น จนเขาต้องไปพบแพทย์ และมีการดูดไขมันที่หน้าอกตอนอายุ 12 เพราะร่างกายเขาผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไป (ฮอร์โมนหลักของเพศหญิง) แต่นั่นทำให้เขารู้สึกดีได้ไม่นาน และน้ำหนักก็กลับมาภายในสองสัปดาห์ เพราะเขายังไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของฮอร์โมนและการควบคุมอาหาร

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

POW ? @i_weigh @jameelajamilofficial

A post shared by Sam Smith (@samsmith) on

 

หลังจากนั้นช่วงมัธยมปลายแซมลดน้ำหนักลงไปมาก และถึงแม้เขาจะ Come Out และเปิดเผยกับครอบครัวว่าตัวเองเป็นเกย์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ แต่พออายุ 16-18 ปี เขาตัดสินใจใส่เสื้อผ้าผู้หญิงและแต่งหน้าไปโรงเรียน Bishop’s Stortford โรงเรียนประจำหมู่บ้านที่มีประชากรไม่ถึง 40,000 คน พออายุได้ 18 ปี แซมย้ายไปอยู่ที่ลอนดอน ซึ่งเขาก็บอกว่าไม่ได้สวยหรูตามภาพที่คิดไว้ และตอนอายุ 20 ปี ช่วงที่ซิงเกิลเพลง Latch ที่ทำกับ Disclosure ออกมา น้ำหนักเขาก็กลับขึ้นมาและต้องปิดบังหุ่นด้วยการใส่สูทที่หลายคนคงจำภาพได้ ช่วงที่อัลบั้มแรกของเขา In The Lonely Hour ออกมาไล่เลี่ยกัน

 

แซมได้บอกเหตุผลที่เขาออกมาพูดถึงเรื่องภาพลักษณ์ร่างกาย (Body Image) ในตอนนี้ ก็เพราะผู้ชายที่มีชื่อเสียงในกระแสหลักของฮอลลีวูดและวงการเพลง Top 40 มักถูกตีกรอบว่าต้องดูดีเพอร์เฟกต์อยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้เองจะสร้างปัญหาและแรงกดดันที่เรียกว่า ภาวะความเป็นชายเป็นพิษ (Toxic Masculinity) ซึ่งเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับการที่สื่อต่างๆ เริ่มยอมรับผู้หญิงหลากหลายรูปแบบมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ส่วนอีกหนึ่งประเด็นที่กำลังสร้างความฮือฮาก็คือ แซมได้บอกว่าเขาเป็นคนประเภท Non-Binary ที่ไม่แบ่งแยกเพศว่าเป็นหญิงหรือชาย โดยบอกว่า “เหมือนมีสงครามขนาดย่อมอยู่ในร่างกายและความคิดฉันเสมอ…บางครั้งฉันก็คิดเหมือนผู้หญิง และบางครั้งก็ถามตัวเองว่า อยากแปลงเพศไหม”

 

แซมยังพูดติดตลกอีกด้วยว่า “ฉันอยู่รอบตัวผู้ชายที่ชอบเพศตรงข้ามมาเยอะ จนรู้ว่าพวกที่ชอบบอกว่าชอบเพศตรงข้าม จริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พูด” โดยก็มีคนดังอีกหลายคนที่ได้ออกมาเปิดเผยว่าตัวเองเป็น Non-Binary หรือ Gender Fluid ในสองสามปีที่ผ่านมา ทั้ง ไมลีย์ ไซรัส, คารา เดเลวีน, เอซรา มิลเลอร์ และ อแมนด์ล่า สเตนเบิร์ก ซึ่งก็ต้องบอกว่าด้วยการเดินหน้าของสังคมและการยอมรับที่มากขึ้นโดยเฉพาะในวงการบันเทิง การที่ผู้คนจะออกมาเปิดเผยสถานะเหล่านี้ก็ถือว่าง่ายขึ้น ต่างจากเมื่อ 10 ปีก่อนที่แค่ออกมาบอกว่าตนเป็นเกย์ก็จะกลายเป็นข่าวใหญ่โต

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

In the past if I have ever done a photo shoot with so much as a t-shirt on, I have starved myself for weeks in advance and then picked and prodded at every picture and then normally taken the picture down. Yesterday I decided to fight the fuck back. Reclaim my body and stop trying to change this chest and these hips and these curves that my mum and dad made and love so unconditionally. Some may take this as narcissistic and showing off but if you knew how much courage it took to do this and the body trauma I have experienced as a kid you wouldn’t think those things. Thank you for helping me celebrate my body AS IT IS @ryanpfluger I have never felt safer than I did with you. I’ll always be at war with this bloody mirror but this shoot and this day was a step in the right fucking direction ????

A post shared by Sam Smith (@samsmith) on

 

ต้องขอชื่นชม แซม สมิธ ที่กล้าออกมาเปิดใจเรื่องราวเหล่านี้ และรู้ว่าตัวเองได้เป็นกระบอกเสียงสำคัญของคนยุคใหม่ที่มีอิทธิพลพร้อมขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้แซมก็เคยโดนโซเชียลถล่ม โดยเฉพาะจากกลุ่ม LGBTQ+ เอง หลังเขาขึ้นรับรางวัลออสการ์ สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2016 และกล่าวบนเวทีว่าเป็นเกย์คนแรกที่ได้รับออสการ์ ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่แซมเข้าใจผิดจากการอ่านบทสัมภาษณ์ของ เอียน แม็กเคลเลน ที่ระบุว่าไม่เคยมีเกย์ชนะรางวัลออสการ์สาขานำชายยอดเยี่ยมมาก่อน และด้วยกระแสที่ค่อนข้างรุนแรงในช่วงเวลานั้น แซมจึงหยุดเล่นโซเชียลไปเกือบปี แต่เราก็เชื่อว่าเพราะการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ แซมจะได้รับคำยกย่องมากมาย และหวังว่าเขาจะไปให้สุด สร้างจุดยืนใหม่ๆ ที่ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นสิ่งที่ต้องพูดคุยกันทั่วโลก โดยเฉพาะกับคนที่กำลังค้นหาตัวเองและไม่ได้ยืนอยู่บนบรรทัดฐานเดิมๆ

 

สำหรับแอ็กเคานต์อินสตาแกรม @I_Weigh ที่บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นก็ช่วยผลักดันให้คนมาร่วมแชร์ประสบการณ์ดีๆ กับเรื่องราวรูปร่างหน้าตา (Body Positive) โดยผู้ก่อตั้ง จามีลา จามิล ริเริ่มเพจนี้ในปี 2018 หลังจากที่ตัวเองไปพบภาพในช่อง Explore ของอินสตาแกรมที่เป็นรูปครอบครัวคาร์ดาเชียน พร้อมน้ำหนักของแต่ละคนพร้อมแคปชันที่เขียนว่า ‘คิมเธอดูน้ำหนัก 56 เหรอ?’ ซึ่งเพราะภาพนี้จามีลาเลยทนไม่ไหว และอยากปลุกระดมให้คนรักตัวเองผ่าน ‘I Weigh’ ที่ทุกวันนี้มีผู้ติดตามมากกว่า 460,000 คน และยังชักชวนให้ทุกคนร่วมกิจกรรมด้วยการนำภาพขาวดำของตัวเอง พร้อมใส่เทมเพลตคำว่า ‘I’m Not Ashamed’ ซึ่งจามีลาที่เป็นนักแสดงซีรีส์ The Good Place ทางช่อง NBC ได้บอกว่าเธออยากให้รูปเหล่านี้ “มีชีวิตเป็นของตัวเอง และรวมตัวกันเป็นพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ที่เต็มไปด้วยความรักตัวเอง”

 

 

 

 

Cover Photo: Facebook: Sam Smith / James Barber

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X