วานนี้ (13 มีนาคม) กองทัพรัสเซียยังคงเดินหน้ารุกรานยูเครนต่อเนื่อง ขยายพื้นที่สงคราม รุกคืบเข้าโจมตีเมืองและฐานทัพฝึกกองกำลังแถบภาคตะวันตกของยูเครน ใกล้กับเมืองลวิฟ เมืองสำคัญที่ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนโปแลนด์ หนึ่งในชาติพันธมิตรขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) เพียงราว 70 กิโลเมตร เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 ราย และได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 134 ราย เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานชาวต่างชาติเสียชีวิตจากเหตุโจมตีดังกล่าว
การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทางการรัสเซียขู่จะโจมตีเส้นทางลำเลียงการส่งมอบอาวุธทางทหารช่วยเหลือกองทัพยูเครน ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้ยูเครนสามารถต้านทานกองทัพรัสเซียได้ในหลายพื้นที่ และกินเวลามานานเกือบ 3 สัปดาห์แล้ว
ทางด้าน แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวประณามรัสเซียถึงเหตุโจมตีเมืองและฐานทัพของยูเครนซึ่งประชิดแนวชายแดนพันธมิตร NATO เข้าไปทุกขณะ พร้อมเรียกร้องให้ความป่าเถื่อนรุนแรงนี้ต้องยุติลงเสียที
ขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ระบุว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ก่อนที่กองทัพรัสเซียจะยิงขีปนาวุธไปตกลงบนดินแดนของพันธมิตร NATO พร้อมวอนขอให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย หันหน้ามาคุยกัน ใช้วิธีการเจรจาทางการทูตและการกดดันด้วยกำลังทางทหารที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของผู้คนจำนวนมาก
“พวกเราพูดถูก และผมจะย้ำอีกครั้ง ถ้าคุณไม่สั่งปิดเขตห้ามบินบนน่านฟ้าของพวกเรา อีกไม่นานขีปนาวุธของรัสเซียจะตกลงมายังดินแดนของคุณ อาณาเขตของ NATO บ้านของพลเมืองประเทศสมาชิก NATO”
สหประชาชาติยืนยันมีผู้เสียชีวิตสะสมแล้วอย่างน้อย 596 ราย ในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาติอย่างน้อย 23 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 1,067 ราย โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) คาดการณ์ว่าตัวเลขจริงอาจจะสูงกว่านี้มาก
ภาพ: Dan Kitwood / Getty Images
อ้างอิง:
