วานนี้ (10 มีนาคม) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ระบุว่า รัสเซียจะแข็งแกร่งขึ้น แม้จะเผชิญแรงกดดันของมาตรการคว่ำบาตรจากบรรดาชาติตะวันจากกรณีรุกรานยูเครน โดยปูตินเชื่อว่ามาตรการคว่ำบาตรทั้งหลายเหล่านั้นจะสะท้อนกลับไปส่งผลกระทบหาชาติตะวันตกเช่นกัน โดยเฉพาะในรูปแบบของปัญหาราคาอาหารและพลังงานเพิ่มสูงขึ้น
ผู้นำรัสเซียระบุว่า ไม่มีทางเลือกอื่นในการตัดสินใจบุกยูเครน อีกทั้งรัสเซียไม่ใช่ประเทศที่จะยอมประนีประนอมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตย เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับในระยะสั้น
“มาตรการคว่ำบาตรเหล่านี้จะถูกใช้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มีคำถาม มีปัญหา และความยากลำบากเกิดขึ้น แต่ในอดีต เราก็เคยเอาชนะสิ่งเหล่านี้มาได้แล้ว และเราจะก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้อีกครั้งในเวลานี้
ในท้ายที่สุด สิ่งนี้จะช่วยเสริมสร้างเอกราชของเรา การพึ่งพาตนเองและอำนาจอธิปไตยของเรา”
รัสเซียถือเป็นประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่ให้แก่ยุโรป อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตปุ๋ยอันดับต้นๆ ของโลก การดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย จะกระทบต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะภาคพลังงาน รวมถึงกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของโลกด้วยเช่นดัน
“พวกเขาประกาศว่า จะระงับการนำเข้าน้ำมันรัสเซียสู่ตลาดอเมริกัน ราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ พวกเขาพยายามจะตำหนิว่าผลจากความผิดพลาดของพวกเขาเป็นความผิดของเรา แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยกับสิ่งนี้”
รัสเซียรุกรานยูเครนมานานกว่า 2 สัปดาห์แล้ว ประชาคมโลกก็ยังคงเดินหน้าคว่ำบาตรรัสเซียต่อเนื่อง โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 549 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 957 ราย ขณะที่ทางการยูเครนระบุว่า ตัวเลขพลเรือนที่เสียชีวิตขณะนี้สูงกว่า 2,000 รายแล้ว ด้านตัวเลขผู้ลี้ภัยออกจากยูเครนสูงกว่า 2.3 ล้านราย และมีผู้พลัดถิ่นในประเทศอีกราว 1.6 แสนราย
ภาพ: Sasha Mordovets / Getty Images
อ้างอิง: