วานนี้ (28 กุมภาพันธ์) ฟิลลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ทวีตข้อความเผยว่า ชาวยูเครนลี้ภัยออกนอกประเทศไปยังประเทศเพื่อนบ้านแล้วกว่า 5 แสนราย หลังทางการรัสเซียมีคำสั่งปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตและขอบเขตความเสียหายจากการใช้กำลังความรุนแรงดังกล่าว ยังคงขยายตัวและเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ UN ระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 102 ราย ขณะที่ เซอร์เก คิสลิตสยา เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรยูเครนประจำ UN ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน อยู่ที่ 352 รายแล้ว ในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 16 ราย
โดยพลเมืองชาวยูเครนส่วนใหญ่มักเดินทางลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) อย่างโปแลนด์ ฮังการี โรมาเนีย สโลวาเกีย รวมถึงประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของทั้งสององค์กรอย่างมอลโดวาอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีรายงานการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นบริเวณแนวชายแดนประเทศ อาทิ โปแลนด์ โดยมีชนเชื้อสายแอฟริกันบางกลุ่มที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางอพยพจากยูเครนไปยังประเทศเพื่อนบ้านเช่นเดียวกับคนผิวขาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชาวไนจีเรีย กานา เคนยา แอฟริกาใต้ เอธิโอเปีย โซมาเลีย ฯลฯ ที่กำลังศึกษาต่อในยูเครน บางรายต้องรออยู่บริเวณพรมแดนประเทศติดต่อกันนานหลายวัน ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นและขาดแคลนอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค เบื้องต้นทางการโปแลนด์ระบุ คำกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง ยืนยันให้ความช่วยเหลือโดยไม่สนใจสัญชาติหรือความเป็นพลเมืองแต่อย่างใด
ภาพ: Alejandro Martinez Velez / Europa Press via Getty Images
อ้างอิง:
