รัสเซียชี้ แผนปฏิรูปกองทัพอาจขึ้นอยู่กับการเพิ่มขึ้นของสมาชิกใหม่ NATO

วานนี้ (24 มกราคม) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พล.อ.อาวุโส วาเลรี เกราซิมอฟ เสนาธิการใหญ่กองทัพรัสเซีย วัย 67 ปี ที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลการรบในสมรภูมิยูเครน เผยว่าแผนปฏิรูปกองทัพรัสเซียอาจขึ้นอยู่กับการเพิ่มขึ้นของสมาชิกใหม่องค์การ NATO ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงรัสเซียในอนาคต

เกราซิมอฟระบุว่า ทุกวันนี้รัสเซียเผชิญหน้ากับภัยคุกคามความมั่นคงมากมาย โดยเฉพาะความพยายามของพันธมิตรองค์การ NATO ที่จะเปิดรับสมาชิกใหม่อย่างฟินแลนด์และสวีเดน รวมถึงความพยายามที่จะใช้ยูเครนเป็นเครื่องมือในการทำสงครามลูกผสมกับรัสเซีย

โดยเกราซิมอฟถือเป็นหนึ่งในนายพลระดับสูงของกองทัพรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจทำสงครามรุกรานยุเครนเมื่อช่วงต้นปี 2022 และได้รับการแต่งตั้งให้มารับช่วงต่อ พล.อ. เซอร์เก ซูโรวิคิน อดีตผู้บัญชาการเขตสงครามที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อราว 3 เดือนก่อน และมีผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจ จนได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงผลงานการรบของกองทัพรัสเซียในช่วงปลายปี 2022

ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสังเกตว่า การที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ตัดสินใจแต่งตั้งนายพลระดับสูงอย่างเกราซิมอฟมาทำหน้าที่ตรงนี้โดยตรง สะท้อนให้เห็นว่ากองทัพรัสเซียอาจเตรียมใช้สรรพกำลังที่รุนแรงขึ้นโต้กลับกองกำลังยูเครนที่ได้รับความช่วยเหลือทางด้านการทหาร โดยเฉพาะอาวุธหนักอย่างรถถังและเครื่องยิงขีปนาวุธที่มีพิสัยไกลยิ่งขึ้นจากบรรดาชาติพันธมิตรตะวันตก

ในขณะที่นักวิชาการอีกจำนวนหนึ่งมองว่า การแต่งตั้งเกราซิมอฟ รวมถึงเปิดโอกาสให้เขามีบทบาทสำคัญในสงครามรัสเซีย-ยูเครน อาจไม่สร้างผลลัพธ์ที่ต่างออกไปจากเดิมมากนัก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่าปูตินกำลังพยายามหายุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นมาแก้ไขสถานการณ์การรบให้รัสเซียถือไพ่เหนือกว่าให้ได้ หลังจากช่วงหลายเดือนที่ผ่านมากองกำลังยูเครนเดินหน้าโต้กลับและชิงพื้นที่บางส่วนคืนได้อย่างต่อเนื่อง หลายฝ่ายคาด เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้น สงครามอาจเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นอีก

ล่าสุดทางการเยอรมนีซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักของยุโรป และเป็นสมาชิกสำคัญขององค์การ NATO ได้ตัดสินใจเตรียมส่งรถถัง Leopard 2 อย่างน้อย 14 คันให้กับยูเครนแล้ว หลังจากที่ได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากพันธมิตรตะวันตก และเคยหวั่นใจว่าการส่งมอบอาวุธหนักให้กับยูเครนอย่างโจ่งแจ้งนั้นอาจมีส่วนยกระดับสงครามรัสเซีย-ยูเครนให้รุนแรงยิ่งขึ้น และอาจบานปลายกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ได้ในท้ายที่สุด พร้อมทั้งยังประกาศสนับสนุนให้ชาติพันธมิตรต่างๆ ส่งมอบความช่วยเหลือด้านการทหารให้ยูเครนในช่วงเวลานี้

ภาพ: Mikhail Kireyyev / Sputnik / AFP

อ้างอิง: