ต้องขอออกตัวก่อนว่าตัวผู้เขียนไม่เคยอ่านมังงะ Rurouni Kenshin ซามูไรพเนจร ผลงานจากปลายปากกาของ อาจารย์โนบุฮิโระ วาสึกิ มาก่อน จนกระทั่งเราได้มีโอกาสตีตั๋วเข้าไปชม Rurouni Kenshin เคนชิน ซามูไร X ฉบับภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันเป็นครั้งแรกในปี 2013 และด้วยฉากแอ็กชันสุดตระการตา การออกแบบตัวละครที่โดดเด่น เพลงประกอบจากวง ONE OK ROCK ที่ยังคงดังกึกก้องอยู่ในหัว จึงทำให้เราเริ่มติดตาม Rurouni Kenshin ฉบับภาพยนตร์มาอย่างต่อเนื่อง
จนในที่สุด Rurouni Kenshin: The Beginning เรื่องราวภาคสุดท้าย (และเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด) ที่ทุกคนต่างเฝ้ารอก็ได้เข้าฉายอย่างเป็นทางการบน Netflix เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา
Rurouni Kenshin บอกเล่าเรื่องราวของอดีตมือสังหาร ฮิมูระ เคนชิน ซามูไรที่สาบานกับตนเองว่าจะไม่ฆ่าฟันผู้ใดอีก และพก ‘ดาบสลับคม’ ไว้เพื่อใช้ปกป้องผู้อื่นเท่านั้น โดยฉบับภาพยนตร์ไลฟ์ชันถูกสร้างออกมาแล้วจำนวน 5 ภาคด้วยกันได้แก่ Rurouni Kenshin (2012), Rurouni Kenshin: Kyoto Inferno (2014), Rurouni Kenshin: The Legend Ends (2014), Rurouni Kenshin: The Final (2021) และ Rurouni Kenshin: The Beginning โดยสามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ทาง Netflix
สำหรับ Rurouni Kenshin: The Beginning จะพาผู้ชมย้อนเวลากลับไปยังจุดเริ่มต้นของ ฮิมูระ เคนชิน (ซาโต้ ทาเครุ) ที่ยังคงจับดาบฟาดฟันผู้คนในนาม มือพิฆาตบัตโตไซ เพื่อนำพาญี่ปุ่นไปสู่ยุคสมัยใหม่ พร้อมกับเปิดเผยที่มาของแผลเป็นรูปกากบาทบนใบหน้าของเขา
หากนำภาพยนตร์ทั้ง 5 ภาคมาเปรียบเทียบกัน เรารู้สึกว่า Rurouni Kenshin: The Beginning จะเป็นภาคที่มีความโดดเด่นแตกต่างไปจากหนังภาคอื่นๆ มากพอสมควร โดยเฉพาะการดำเนินเรื่องที่เน้นหนักไปในทางดราม่าของตัวละครเพื่อพาผู้ชมไปสำรวจสภาพจิตใจของเคนชินในช่วงเวลาที่ยังเป็นมือสังหาร รวมถึงแง่มุมความรักระหว่างเคนชินและ ยูกิชิโระ โทโมเอะ (คาซุมิ อาริมุระ) ภรรยาคนแรกของเขาที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังมีการอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาใช้เป็นฉากหลังของเรื่อง โดยนำเหตุการณ์ในช่วงปลายยุคเอโดะ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ญี่ปุ่นจะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองแบบโชกุนโทคุกาวะไปสู่ยุคเมจิที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จึงทำให้เนื้อหาภายในเรื่องมีความสมจริงสมจังมากกว่าภาคอื่นๆ
ขณะเดียวกัน เมื่อภาพยนตร์พยายามจะเน้นหนักไปในทางดราม่า สิ่งที่ต้องแลกมาคือฉากแอ็กชันที่ถูกลดทอนลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินใจของผู้กำกับและทีมงานที่ท้าทายอยู่พอสมควร เพราะความโดดเด่นของ Rurouni Kenshin ในทุกภาค คือฉากแอ็กชันใหญ่ๆ ที่เปิดโอกาสให้เคนชินได้โชว์วิชาดาบล่องนภาให้เราได้ชมแบบเน้นๆ อย่างน้อย 2 ฉาก
แต่สำหรับ Rurouni Kenshin: The Beginning กลับเลือกที่จะลดขนาดของฉากแอ็กชันลงให้เป็นการดวลดาบสั้นๆ ไม่ได้มีเอฟเฟกต์อลังการมากมาย และแทนที่ด้วยการดำเนินเรื่องที่เข้มข้นเพื่อให้ผู้ชมได้เข้าไปสำรวจความรู้สึกของตัวละครอย่างใกล้ชิด
ซึ่งสองนักแสดงนำอย่าง ซาโต้ ทาเครุ และ คาซุมิ อาริมุระ ต่างทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้สึกของทั้งสองตัวละครให้ผู้ชมได้สัมผัสอย่างแจ่มชัด โดยเฉพาะ ซาโต้ ทาเครุ ที่นอกจากจะเล่นฉากแอ็กชันเองทุกภาคแล้ว เขาก็ยังถ่ายทอดความความเจ็บปวดที่เคนชินต้องแบกรับออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
อีกหนึ่งเรื่องที่เราอยากชื่นชมเป็นการส่วนตัว คืองานพากย์ไทยคุณภาพคับแก้วที่โดดเด่นไม่แพ้เสียงต้นฉบับ นำทีมโดย เฟิร์ส-วิรุฬห์วิชญ์ ถิรสุวรรณ ผู้ให้เสียงพากย์ตัวละคร บักกี้ บาร์น จากภาพยนตร์ Captain America: The First Avenger (2016) มาให้เสียงพากย์เป็นเคนชิน และ เก๋-กรรณิกา อยู่ยงสินธ์ ผู้ให้เสียงพากย์ตัวละคร หญิงสาว จากภาพยนตร์ My Sassy Girl (2001) มาให้เสียงเป็นโทโมเอะ ซึ่งทั้งคู่ต่างถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครผ่านเสียงพากย์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
ในภาพรวมแล้ว Rurouni Kenshin: The Beginning จึงอาจไม่ได้โดดเด่นในด้านฉากแอ็กชันสุดตระการตาเหมือนภาคก่อนๆ จนอาจจะทำให้ใครหลายคนต้องผิดหวัง แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบในการเสพเนื้อเรื่องเข้มๆ เราคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่
ภาพ:
- Warner Bros. Japan
อ้างอิง: