ในวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคมนี้ รักบี้ชิงแชมป์โลก 2019 ที่ประเทศญี่ปุ่นได้เดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศ ซึ่งทุกสายตาของแฟนกีฬารักบี้ทั่วโลกจับจ้องไปที่คู่ระหว่าง นิวซีแลนด์ ออลแบล็กส์ กับทีมชาติอังกฤษ 2 ทีมที่ฟอร์มดีที่สุดในเวลานี้
โดยแชมป์เก่าออลแบล็กส์เพิ่งเอาชนะไอร์แลนด์ไป 46-14 ขณะที่อังกฤษพลิกถล่มออสเตรเลีย วอลลาบีส์ ไป 40-16 จนส่งผลให้โค้ชทีมชาติออสเตรเลียลาออก
แต่ก่อนที่เสียงนกหวีดแรกจะเริ่มต้นขึ้น เราไปดูความพร้อมและแผนการของทั้ง 2 ทีมกัน
เริ่มกันที่ฝั่งแชมป์โลก 2 สมัยล่าสุดอย่างออลแบล็กส์ ล่าสุดได้ประกาศ 15 ผู้เล่นตัวจริงในสนาม โดยยังคงยึดตัวหลักเดิมจากเกมที่เอาชนะไอร์แลนด์ โดยปรับเพียงแค่เอา แซม เคน ผู้เล่นหมายเลข 7 ตำแหน่งแฟรงเกอร์ขวา (Right Flankers) ธรรมชาติ และเปลี่ยนเอา สกอตต์ บาร์เรตต์ ซึ่งปกติเล่นในตำแหน่งผู้เล่นแถวสองหรือล็อก (Lock) ลงมาแทนในตำแหน่งแฟรงเกอร์ซ้าย (Left Flankers) หมายเลข 6 และปรับเอา อาร์ดี้ ซาเวียร์ ลงมาเล่นในตำแหน่งหมายเลข 7 แทน
ภาพ: Rugby World Cup
การปรับรูปแบบนี้ในแดนหน้า ซึ่งถือเป็นกำลังรับสำคัญในเกมนี้มองว่าน่าจะเป็นแผนไว้ใช้รับมือกับทีมชาติอังกฤษที่มักจะเล่นเกมรุนแรงและดุดัน ขณะเดียวกันก็อาจปรับ แซม เคน ลงมาช่วยพลิกสถานการณ์ได้ เช่นเดียวกับ เดน โคลส์ ผู้เล่นหมายเลข 2 ที่มีความเร็วสปีดต้นค่อนข้างสูง นั่งอยู่ในตำแหน่งม้านั่งสำรองเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้การส่งผู้เล่นตำแหน่งล็อกถึง 3 คนในสนาม บวกกับ สตีฟ แฮนเซน ซึ่งเคยเป็นโค้ชกองหน้ามาก่อนในยุคสมัยของ เกรแฮม เฮนรี หัวหน้าโค้ชออลแบล็กส์ ชุดแชมป์โลกปี 2011 เกมนี้น่าจะมีลูกเซตเพลย์มาเล่นงานอังกฤษจากจังหวะ ไลน์เอาต์เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ภาพ: Getty
ขณะที่ในแดนหลังยังคงเลือกใช้ 2 เพลย์เมกเกอร์ ทั้ง ริชชี โมวังงา ลงสนามในตำแหน่งหมายเลข 10 และ โบเดน บาร์เรตต์ ในตำแหน่งฟูลแบ็กเบอร์ 15 ลงเป็น 2 ตัวเลือกสำคัญในการสร้างสรรค์เกมรุกในจังหวะสำคัญสลับกัน
ซึ่งจากหลายเกมที่ผ่านมาแผนของออลแบล็กส์ทำงานได้เป็นอย่างดี พวกเขาเล่นงานคู่แข่งได้ทั้งเซตเพลย์และจังหวะตัดบอลในแดนกลางสวนกลับมาเล่นงานคู่ต่อสู้ได้เกือบทุกเกม แต่สิ่งที่ดูจะโดดเด่นที่สุดสำหรับทีมชุดคือนี้จิตวิทยาที่เข้มแข็ง
ภาพ: Getty
จากการติดตามออลแบล็กส์มาเป็นเวลานาน เราได้เห็นการพัฒนาจุดนี้อย่างชัดเจน ในรักบี้ชิงแชมป์โลกปี 2007 ออลแบล็กส์พ่ายให้กับทีมชาติฝรั่งเศสในรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยพวกเขาพลาดตั้งแต่ที่ ลุค แม็กเอลิสเตอร์ ผู้เล่นเบอร์ 12 ในปีนั้นถูกใบเหลืองไล่ออกจากสนามไป 10 นาที จากจังหวะที่แฟนกีฬาหลายคนอาจไม่เห็นด้วยนัก
หลังจากนั้นทีมเสียสมาธิอย่างหนัก จนสุดท้ายพวกเขาก็พ่ายให้กับฝรั่งเศสไป 18-20 ตกรอบแบบชนิดที่ทุกวันนี้ยังเป็นหนึ่งในการพลิกล็อกครั้งที่ใหญ่ที่สุดในศึกรักบี้ชิงแชมป์โลก
หลังจากผ่านศึกชิงแชมป์โลกมา 2 ครั้งทีมของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ โดยมีหัวใจสำคัญในทีมนี้คือ คีแรน รีด กัปตันที่รับไม้ต่อมาจาก ริชชี แม็กคาว์ เมื่อปี 2015
ภาพ: Getty
คีแรน รีด เป็นผู้เล่นตำแหน่งหมายเลข 8 ซึ่งตำแหน่งนี้ในประวัติศาสตร์ของทีมเป็นผู้ที่ต้องมีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับทีมทั้งเกมรับและเกมรุก ซึ่งที่ผ่านมา คีแรน รีด จะเป็นผู้นำโดยตัวอย่างตลอด เป็นนักกีฬาที่อยู่แทบจะทุกจังหวะสำคัญในเกม และพร้อมที่จะสร้างอิมแพ็กให้กับทีมได้ต่อเนื่อง
ซึ่งเขาได้ประกาศชัดเจนแล้วว่านี้คือทัวร์นาเมนต์สุดท้ายในนามทีมชาติออลแบล็กส์ในวัย 33 ปี เขาก็หวังที่จะสร้างประวัติศาสตร์นำพาออลแบล็กส์สู่แชมป์โลกสมัยที่ 3 ติดต่อกันให้ได้
ข้ามมาที่ฝั่งของอังกฤษ ทีมชาติอังกฤษชุดนี้ถือเป็นทีมชุดนี้มีโอกาสคว้าแชมป์โลกมากที่สุดรองจากชุดแชมป์โลกเมื่อปี 2003 ที่มีทั้ง จอห์นนี วิลคินสัน, เจสัน โรบินสัน และมาร์ติน จอห์นสัน กัปตันทีมชุดแชมป์โลก
ภาพ: Getty
อังกฤษปีนี้มาพร้อมกับ เอ็ดดี้ โจนส์ โค้ชชาวออสเตรเลียที่เขามาเปลี่ยนแปลงทีมชาติอังกฤษ หลังจากที่ตกรอบแบ่งกลุ่มรักบี้ชิงแชมป์โลกในบ้านตัวเองเมื่อปี 2015
พวกเขาเก็บชัยชนะได้ติดต่อกัน 9 เกมแรกภายใต้การคุมทีมของโจนส์ จนหลายฝ่ายในเวลานั้นเรียกร้องให้อังกฤษที่กำลังฟอร์มดีมาเจอกับออลแบล็กส์ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย แต่สุดท้ายแมตช์นั้นก็ไม่เกิดขึ้น
ภาพ: Getty
จนกระทั่งมาถึงรักบี้รายการพิเศษ British and Irish Lions ที่รวมดาวทีมชาติอังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์ เดินทางมาแข่งขันกับทีมในนิวซีแลนด์และทีมออลแบล็กส์ ซึ่งสถิติเมื่อปี 2005 ครั้งก่อนที่พวกเขามา ทีมชุดนั้นที่มีนักรักบี้ระดับตำนาน ทั้ง เจสัน โรบินสัน (อังกฤษ), ไบรอัน โอดริสโคลล์ (ไอร์แลนด์), สตีเฟน โจนส์, เชน วิลเลียมส์ (เวลส์) แต่กลับพ่ายให้กับออลแบล็กส์อย่างย่อยยับทั้ง 3 เกมรวด
มาถึงทีม British and Irish Lions ในปี 2017 ซึ่งอังกฤษติดทีมชุดนี้มาถึง 17 คนทำผลงานได้อย่างสูสี เก็บชัยชนะได้ 1 เกม แพ้ 1 เกม และเสมอกันที่ 15-15 ในเกมสุดท้าย จนถึงเกมล่าสุดที่อังกฤษพ่ายให้กับออลแบล็กส์ในบ้านไป 15-16 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2018 ทำให้เห็นถึงความสูสีมากขึ้นระหว่างรักบี้จากยุโรปและทีมออลแบล็กส์
ภาพ: Getty
“เราเห็นแล้วว่าพวกเขาก็พลาดได้ เลือดออกได้ และเป็นเพียงแค่มนุษย์เหมือนกับเรา” เอ็ดดี้ โจนส์ กล่าวถึงทีมออลแบล็กส์ที่พวกเขากำลังเตรียมพร้อมรับมือในรอบรองชนะเลิศปีนี้
เอ็ดดี้ โจนส์ ถือเป็นโค้ชที่ชื่นชอบเล่นสงครามจิตวิทยาก่อนเกมเป็นพิเศษ ก่อนศึกรักบี้ชิงแชมป์โลกปีนี้ เขาสารภาพว่าครั้งหนึ่งเขาเคยจูบคู่แข่งในสมัยที่เขาเป็นนักรักบี้ และเคยไม่ปรากฏตัวในการประชุมหรือโปรแกรมซ้อมที่เขาเองเป็นคนจัดขึ้น เพื่อสร้างความได้เปรียบจากสงครามจิตวิทยา
“ผมเรียกประชุมและก็ไม่ปรากฏตัว เรียกซ้อม และผมเองก็ไม่ไปร่วม เราต้องให้นักกีฬาของเราและทีมงานเกิดข้อผิดพลาด เพราะนั้นคือวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุด”
โจนส์เผยว่าสงครามจิตวิทยามีความสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ทีมของเขาสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
“ตอนที่ผมเป็นนักรักบี้ผมตัวเล็กมาก ผมต้องหาทางสร้างความได้เปรียบ แม้กระทั่งวันนี้ผมก็เชื่อว่าการพูดบางอย่างในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้นักกีฬาของเราตอบสนองได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกันอาจทำให้คู่ต่อสู้เราตอบสนองได้รูปแบบที่เราต้องการ
“ผมจำได้แม่นยำตอนที่ผมเป็นนักรักบี้ให้กับสโมสรแรนด์วิก คู่ต่อสู้ของผมในตำแหน่งพร็อพ (Prop) เป็นเพื่อนเก่าของผม ผมจึงต้องหาทางทำให้เขาหงุดหงิดเพราะผมไม่สามรถรับมือเขาได้
“สกรัมแรกผมจึงหันไปจูบเขาที่แก้ม เขางงไปหมด และไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไร นั่นก็แค่หนึ่งในตัวอย่างว่าผมพยายามหาวิธีการเอาชนะในรูปแบบต่างๆ แน่นอนครั้งนั้นประสบความสำเร็จ แต่ผมจะไม่จูบเขาอีกแล้วนะ”
นอกจากนี้เขายังยอบรับว่า เจอร์เกน คล็อปป์ และเป๊ป กวาร์ดิโอลา 2 ผู้จัดการทีมชื่อดังจากพรีเมียร์ลีกฟุตบอล เป็นตัวอย่างที่ดีของเขาในการบริหารจัดการทีม
“ตอนที่ซิตี้เจอกับลิเวอร์พูล คล็อปป์บอกว่านี่คือสองทีมที่ดีมาก พวกเขาอาจจะดีกว่าเรา ซึ่งผมมองว่านี่เป็นการพูดถึงเกมได้ดีมาก ในการสร้างความมั่นใจก่อนเกม นักกีฬาจะฟังสิ่งที่เราพูดในห้องแถลงข่าว คุณสามารถปลุกระดมพวกเขาไปข้างหน้าได้”
ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เอ็ดดี้เริ่มต้นดำเนินการก่อนเกมในบทสัมภาษณ์ต่างๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เอ็ดดี้จะเน้นย้ำเสมอว่าแรงกดดันทั้งหมดอยู่ที่ทีมออลแบล็กส์
“พวกเขาที่กำลังไล่ล่าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ติดต่อกัน พวกเขาจะโดนแรงกดดันไล่ล่าตลอด พวกเราแค่ต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าชนะก็ถือเป็นความสำเร็จ ถ้าแพ้ก็คือว่าเราทำได้ดีที่สุดแล้ว”
นอกจากนี้ยังได้เผยว่ามีคนแอบถ่ายทีมชาติอังกฤษฝึกซ้อม และโจมตีสื่อกีฬาจากประเทศนิวซีแลนด์ว่าเป็นเพียงแฟนกีฬาที่มีคีย์บอร์ดอยู่ข้างหน้า พร้อมกับยืนยันว่าอังกฤษยังไงก็เป็นรองในเกมนี้
“เราไม่มีแรงกดดันอะไรเลย ไม่มีใครคิดว่าเราจะชนะ ข้างนอกห้องนี้มีแฟนญี่ปุ่น 120 ล้านคนที่เลือกสนับสนุนออลแบล็กส์รองจากทีมชาติของพวกเขา ดังนั้นเราไม่มีแรงกดดันอะไร เราแค่ต้องออกไปสนุกและผ่อนคลายกับเกม
“พวกเขาต่างหากที่พยายามจะคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 นั่นแหละคือแรงกดดันมหาศาลเลยละ”
ภาพ: Rugby World Cup
ขณะที่การประกาศผู้เล่น 15 ตัวจริงฝั่งอังกฤษนั้น เอ็ดดี้ได้เลือกใช้แผนที่คล้ายกันโดยส่งเอาเพลย์เมกเกอร์ลงสนามพร้อมกัน 2 คนในแดนหลัง โดยนำเอา จอร์จ ฟอร์ด ลงมาเล่นในตำแหน่งหมายเลข 10 หรือฟลายฮาล์ฟ (Flyhalf) ตัวหลัก ขณะที่ โอเวน ฟาร์เรล สตาร์ดังของทีมถูกดรอปลงไปเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ตัวในหมายเลข 12 ซึ่งการปรับทัพครั้งนี้อาจได้เห็นอังกฤษเล่นในสไตล์ที่คล้ายกับออลแบล็กส์ที่เพิ่มตัวเลือกในเกมรุกมากขึ้นในจังหวะสำคัญของเกม
โดยในเกมนี้เห็นได้ชัดว่า เอ็ดดี้ โจนส์ เลือกที่จะโจมตีจุดที่เข้มแข็งที่สุดของออลแบล็กส์นั่นคือการเล่นงานสภาพจิตใจของทีมออลแบล็กส์ทั้งการบอกว่าแรงกดดันทั้งหมดอยู่กับพวกเขา การบอกว่านักข่าวจากประเทศนี้คือแฟนกีฬาที่มีคีย์บอร์ด และ กล่าวหาบางฝ่ายว่าเป็นสายลับแอบส่องทีมเขาซ้อม ซึ่งเอ็ดดี้ก็ยอมรับว่าคำพูดเหล่านี้ถ้าถึงหูของ สตีฟ เฮนเซน เขาคงจะหัวเราะใส่
สิ่งเหล่านี้เป็นแรงสั่นสะเทือนนอกสนามที่โค้ชอังกฤษได้สร้างขึ้นก่อนเกม และแม้ว่าฝั่งของออลแบล็กส์ โค้ชสตีฟ เฮนเซน จะเลือกไม่ตอบโต้ และไม่เล่นสงครามจิตวิทยาด้วย แต่หากเอ็ดดี้ทำสำเร็จ และบางคำพูดของเขาส่งผลกระทบต่อจิตใจของนักกีฬาบางคน เกมในวันเสาร์นี้ก็อาจจะสูสีขึ้นไปอีก และหากใครก็ตามคว้าชัยชนะในเกมนี้ รอบชิงชนะเลิศไม่ว่าจะเป็นเวลส์หรือแอฟริกาใต้ การคว้าแชมป์โลกอาจไม่ยากเท่าเกมนี้ก็เป็นได้
สำหรับรักบี้ชิงแชมป์โลกปี 2019 รอบรองชนะเลิศ อังกฤษจะพบกับนิวซีแลนด์ ออลแบล็กส์ ในวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคมนี้ เวลา 15.00 น. ก่อนที่ทีมแอฟริกาใต้ สปริงบ็อก จะลงสนามพบกับเวลส์ในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม ผู้ชนะจากทั้ง 2 เกมจะไปพบกันในรอบชิงชนะเลิศวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: