วันนี้ (1 กุมภาพันธ์) เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เดินทางมายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้คณะกรรมการเลือกตั้งใช้อำนาจตามมาตรา 92 ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ในการส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล หลังจากเมื่อวานนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง
เรืองไกรเปิดเผยว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามคำร้องมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ เห็นว่า พิธาและพรรคก้าวไกลใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง กฎหมายจึงบังคับให้ศาลฯ สั่งให้ผู้ถูกร้องยุติพฤติกรรม โดยสั่งห้ามยกเลิกมาตรา 112
ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 หรือกฎหมายใดก็ตาม เป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ต้องเป็นไปโดยชอบ
ทั้งนี้ การมีพฤติกรรมเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ถูกระบุไว้ในมาตรา 92 (1) ในขณะที่ 92 (2) กำหนดว่าหากมีพฤติกรรมอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นเด็ดขาดจึงมีผลผูกพันทุกองค์กร รวมถึง กกต. และรัฐสภา จะไม่สามารถดำเนินการประชุมใดๆ ได้ หากมีความผิดละเมิดมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ
เรืองไกรกล่าวว่า ตนเองจึงเดินทางมา กกต. เพื่อให้นำผลวินิจฉัยเมื่อวานนี้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 92 (1) และ (2) เพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยว่าจะต้องยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ พร้อมแนบคำร้องที่ตนเองเคยยื่นเอาไว้ เมื่อวันที่ 3 เมษายน และ 30 มิถุนายน 2566 รวมถึงคำร้องที่เคยร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในปี 2564 แนบมาด้วยอีก 20 แผ่น
⛔ กกต. เฉยไม่ได้-คิวถัดไปจ่อร้องพรรคเพื่อไทย
โดยเรืองไกรยืนยันว่า ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้ กกต. จะอยู่เฉยไม่ได้ รวมถึง ป.ป.ช. ด้วย เพราะตนเคยยื่นร้อง สส. 44 คน ที่เข้าชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112
ขณะที่รัฐสภา หากมีการเสนอญัตติหรืออภิปรายเกี่ยวกับสถาบันฯ ซึ่งข้อบังคับห้ามอยู่แล้ว ในทางใดๆ ประธานสภาจะต้องยึดถือแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้
ทั้งนี้เรืองไกรยังเปิดเผยว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลของพรรคการเมืองอื่นๆ รวมถึงพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะเป็นคิวต่อไป ไม่ว่าจะ เศรษฐา ทวีสิน หรือ แพทองธาร ชินวัตร ที่เคยพูดไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง หากพบว่าเข้าเกณฑ์ความผิดตามกฎหมายก็จะยื่นตรวจสอบ ไม่ใช่เรื่องยาก
⛔ 90% ยุบพรรคแน่นอน
เรืองไกรกล่าวว่า คำร้องที่ยื่นต่อศาลเมื่อวานไม่ใช่คำร้องยุบพรรคตามกฎหมายพรรคการเมือง เป็นเพียงคำร้องให้ยุติการกระทำ จึงต้องมายื่นวันนี้ซ้ำอีกครั้ง โดยอำนาจยุบพรรคทุกอย่างจะไปจบที่ศาลฯ หน่วยงานเจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่นำส่ง ส่วนเรามีหน้าที่เป็นคนร้อง และผู้ถูกร้องมีหน้าที่แก้ข้อกล่าวหา
ส่วนกรณีที่เกิดกับ ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน มีความกังวลหรือไม่ เรืองไกรกล่าวว่า ศรีสุวรรณกับเรืองไกรเป็นคนละชื่อ เราทำมานานแล้ว อยู่บนหลักกฎหมายข้อเท็จจริง ส่วนใหญ่ฟ้องมาหลายคดีก็ชนะทุกคดีเพราะศาลรับฟัง เราไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท ไม่เอาข้อความเป็นเท็จไปแจ้งเจ้าพนักงาน ส่วนที่แฟนคลับพรรคก้าวไกลไม่พอใจเพราะว่าไม่ถูกใจ เชื่อว่าหากพรรคก้าวไกลถูกยุบจริงๆ จะไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองถ้าหากเคารพกติกา โดยได้ยกตัวอย่างกรณีของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่ให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีกรณีถือหุ้นบุรีเจริญฯ ได้ลาออกจากเลขาธิการพรรคและ สส. ว่าเป็นการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตัดสิน วันนี้ประชาชนมีตัวเลือกใหม่ มีความหวังกับอนาคตใหม่ มีความหวังกับก้าวไกล ได้ สส. มา 151 คน เป็นเรื่องที่ดี แต่การได้มาจากประชาชนไม่ได้หมายความว่าคุณมีสิทธิเสรีภาพทุกเรื่อง และในสมัยหน้า สว. ก็ไม่มีสิทธิในการเลือกนายกรัฐมนตรี
ส่วนหากพรรคก้าวไกลโดนยุบพรรค เรืองไกรกล่าวว่า ไม่เป็นไร ก็ตั้งพรรคใหม่ ทั้งนี้เชื่อว่าไม่เป็นการสร้างความขัดแย้งทางการเมือง พรรคก้าวไกลก็ต้องหาคะแนนเสียงใหม่และนำเรื่องนี้เป็นบทเรียน อย่างไรก็ตามมั่นใจว่า เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ พรรคก้าวไกลโดนยุบพรรคแน่นอน โดยวันนี้ได้ยื่นรายชื่อ 44 สส. พรรคก้าวไกล ที่ลงชื่อในการแก้ไขมาตรา 112 ด้วย
⛔ แบม-ตะวัน เรียกร้องประหารชีวิต เชื่อทำโพลล้มล้างการปกครอง
โดยระหว่างที่เรืองไกรกำลังให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ปรากฏว่า ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน และ อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือ แบม นักกิจกรรมอิสระ ได้เดินทางมายังบริเวณหน้าสำนักงาน กกต. โดยสวมเสื้อสีขาว ที่คอทั้งคู่มีเชือกมัดคล้องคอและมือไว้ด้วยกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยายามเข้ามาตรึงกำลัง และกันไม่ให้ทั้งคู่เข้าไปยังวงสัมภาษณ์ของเรืองไกร
ก่อนที่ทั้งคู่จะทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ระบุว่า เนื่องจากศาลฯ ได้มีการกล่าวอ้างถึงชื่อของตัวเอง 2 คน และกล่าวถึงพฤติกรรมรวมถึงกิจกรรมก่อนหน้านี้ที่เคยได้ดำเนินการจัดทำแผ่นป้ายข้อความ ‘คิดว่ามาตรา 112 ควรแก้ไขหรือยกเลิก’ พร้อมนำสติกเกอร์มาให้ติด เพื่อแสดงความเห็น ซึ่งรวมถึงการให้พิธานำสติกเกอร์ไปแปะด้วย ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ล้มล้างการปกครอง ประกอบกับเมื่อวานนี้ก็มีชื่อของตัวเองอยู่ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
โดยแบมและตะวันระบุว่า ขอให้ศาลนำตัวไปประหารเนื่องจากมีความผิด ที่ได้ทำการล้มล้างการปกครองด้วยโพลและสติกเกอร์ ซึ่งขณะนี้มีเพื่อนของเราอยู่ในคุก เราเลวกว่าพวกเขามาก เพราะเราได้ทำการล้มล้างการปกครอง ขอให้ประหารเราแทนพวกเขาและปล่อยพวกเขาออกมา นอกจากนี้ยังมี บุ้ง เนติพร หรือ บุ้ง ทะลุวัง ที่ประท้วงอดอาหารในคุกด้วย ได้โปรดจับเราไป พร้อมกับของกลางที่รุนแรงและร้ายแรง เราสำนึกแล้วที่ใช้สิ่งนี้ทำให้ประเทศเกิดการล้มล้างการปกครองและล่มจม
⛔ กระดาษแผ่นนี้ล้มล้างการปกครอง
จากนั้นแบมและตะวันได้ร่วมกันเขียนข้อความและอ่านชื่อบุคคลที่ถูกจำคุกในคดีมาตรา 112
“หากท่าน เปาบุ้นจิ้น จะเอ่ยนามของเราทั้งสองคน เพราะเราได้ทำผิดเอาไว้อย่างมาก ฉะนั้นหญิงสาวทั้งสองคนที่ใช้โพลอันนี้เป็นอาวุธที่ร้ายแรง กระดาษแผ่นนี้สามารถล้มล้างการปกครองของประเทศนี้ได้ ทำให้ประเทศนี้ล่มจม กระดาษและสติกเกอร์เพียงราคาไม่กี่บาท พวกเรารู้สึกผิดไปแล้วที่ทำให้ประเทศนี้ถูกล้มล้างการปกครอง ได้โปรดประหารเราแทนเพื่อนทั้งหลาย” ตะวันกล่าว