×

Shortcut ปรัชญา 3-4-2-1 เหตุผลที่ อโมริม รักไม่ยอมเปลี่ยน(แผน)

15.09.2025
  • LOADING...
ruben-amorim-man-united-crisis

 

“มันมีสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมากมาย ไม่มีใครรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ผมจะไม่มีวันยอมเปลี่ยนแปลงอะไรแน่ ถ้าผมอยากจะเปลี่ยนแปลงปรัชญาของตัวเอง ผมจะทำเอง แต่ถ้าผมยังไม่คิดจะเปลี่ยนความคิด คุณก็ต้องเปลี่ยนที่ตัวคนแทน”

 

นี่เป็นอีกครั้งที่รูเบน อโมริม ยืนยันว่าเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงปรัชญาการเล่นในแบบของตัวเอง 3-4-2-1 แม้ว่าทีมจะยังคงทำผลงานได้ย่ำแย่และเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ซึ่งล่าสุดการแพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี ทำให้ทีมมีแค่ 4 คะแนนจากการลงสนาม 4 นัดแรกของฤดูกาล เป็นผลงานที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เข้ายุคพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1992/93 ก็ตาม

 

คำถามที่อยากชวนคิดไปด้วยกันในวันนี้คือ ทำไมรูเบน อโมริมถึงเปลี่ยนแผนการเล่นให้ไม่ได้?

 

แต่ก่อนอื่นลองฟังความเห็นจาก รอย คีน อดีตกัปตันผู้ยิ่งใหญ่แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ดกันก่อน “มันทำให้ผมกังวล” มิดฟิลด์เลือดเดือดให้ความเห็นในรายการวิเคราะห์ทางสถานี Sky Sports “แมนฯ ยูไนเต็ดทีมนี้ขาดคุณภาพในการเล่นอย่างชัดเจน ลองดูผลการแข่ง ลองดูจำนวนแต้มต่อเกม จำนวนประตูได้และเสีย มันดูไม่ดีเลย”

 

สิ่งที่คีนพูดนั้นเป็นไปตามเนื้อผ้า แมนฯ​ ยูไนเต็ด ภายใต้ยุคของอโมริมยังคงดำดิ่งไปกับความ New-low เรื่อยๆ โดยสถิติล่าสุดที่ทำได้คือการออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างเลวร้ายที่สุดเก็บได้เพียงแค่ 4 จาก 12 แต้มเต็มเท่านั้น

 

ทั้งๆ ที่ลงทุนไปมากกว่า 200 ล้านปอนด์ในช่วงปิดฤดูกาล!

 

ถึงแม้ว่าครั้งสุดท้ายที่ทีมปีศาจแดงออกสตาร์ทเลวร้ายขนาดนี้จะจบด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 26 ปีของสโมสร แต่ความแตกต่างกันระหว่างวันนี้กับวันนั้นคือในฤดูกาลก่อนหน้า (1991/92) แมนฯ​ ยูไนเต็ด จบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์ ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี และพวกเขาได้จิ๊กซอว์สำคัญชิ้นสุดท้ายอย่างเอริค คันโตนา

 

ในขณะที่อโมริม ผลงานเลวร้ายจัดจนละเหี่ยใจ โดยที่ Opta คำนวณว่าพวกเขามีโอกาสตกชั้น (11 เปอร์เซ็นต์) ได้มากกว่าที่จะจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมท็อป 5 ที่จะได้ไปยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีกเสียอีก (7.3 เปอร์เซ็นต์)

 

และถ้านับตั้งแต่ช่วงที่เข้ามาคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด คือทีมที่ทำผลงานได้เลวร้ายที่สุดในพรีเมียร์ลีก โดยเก็บได้แค่ 31 แต้มจาก 31 นัดที่ลงสนาม ไม่มีทีมไหนจะทำผลงานได้แย่ขนาดนี้อีกแล้ว 

 

แน่นอนว่าปัญหาเดียวปัญหาเดิมที่ทุกคนพูดถึงมาตลอดคือระบบการเล่น 3-4-2-1 (หรือจะ 3-4-3 ก็ได้ไม่ผิด) ของเขาที่ผ่านมา 10 เดือนแล้วก็ยังไม่มีแววว่าจะเป็นโล้เป็นพาย แต่กลายเป็นพะโล้หมูสามชั้นนุ่มๆสำหรับทีมต่างๆได้เคี้ยวกันหยุ่นๆชุ่มลิ้น

 

เสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบบการเล่นดังไม่เคยหยุด แต่ก็เช่นเดียวกับกุนซือคนหนุ่มวัย 40 ปีชาวโปรตุเกสที่ยืนยัน หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีวันเปลี่ยน

 

เพราะอะไร?

 

รูเบน อโมริม กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

เพราะมันไม่ใช่แค่แผนแต่คือความเชื่อทั้งชีวิต

 

ในความดื้อรั้นของอโมริม บางทีเราต้องกลับมาคิดเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่หลายคนเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนและปรับสักนิด บางทีแมนฯ​ ยูไนเต็ด อาจจะพลิกกลับมาทำผลงานกระฉูดแล้วก็เป็นได้

 

เหตุผลนั้นอาจเป็นเพราะปรัชญาหรือระบบการเล่น 3-4-2-1 นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ระบบการเล่นธรรมดา

 

แต่มันหมายถึงความเชื่อทั้งชีวิตของลูกผู้ชายที่ชื่อรูเบน อโมริมเลยทีเดียว

 

ทุกอย่างต้องย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นในช่วงแรกที่เขาได้โอกาสสัมผัสงานในการคุมทีมกับสโมสร คาซา เปีย ในฤดูกาล 2018/19

 

อโมริม ในเวลานั้นเพิ่งจะประกาศอำลาวงการมาหมาดๆ ในวัย 32 ปี หลังประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรุนแรงเอ็นเข่าฉีกขาด กำลังศึกษาวิชาการเป็นโค้ช โดยหนึ่งใน “ชั้นเรียน” ในช่วงที่เข้ารับการอบรมคือการเข้าไปเข้าไปชมการฝึกสอนของโชเซ มูรินโญ “The Special One” ที่กำลังคุมแมนฯ ยูไนเต็ดด้วย เรียกว่าวิชากำลังร้อน

 

แต่ผลงานในการคุมทีม 2 นัดแรกของเขากลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด คาซา แพ้รวดทั้ง 2 นัด และทำให้อโมริม เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการคุมทีมของตัวเองว่าสิ่งที่เขารู้และเชื่อมานั้นผิดไปหรือเปล่า ความภาคภูมิใจที่สั่งสมมาถูกท้าทายอย่างหนักจากความผิดหวัง

 

สิ่งที่อโมริมทำคือการประกาศกับลูกทีมว่าขอให้เชื่อและทำตามเขาสักนิด ถ้ามันยังไม่ได้ผลอีก เขาจะลาออกจากตำแหน่งเอง

 

ในเกมที่ 3 กับคาซา อโมริมสั่งเปลี่ยนระบบการเล่นใหม่มาใช้กองหลัง 3 ตัวเป็นครั้งแรก และปรากฏว่ามันได้ผล! เขาสัมผัสได้ว่านี่คือระบบการเล่นที่จะนำไปสู่ฟุตบอลในแบบที่เขาอยากเห็นและอยากให้เป็น ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาเรื่อย

 

จนกระทั่งมาถึงจุดสูงสุดในช่วงการคุมทีมสปอร์ติง ลิสบอน พาทีมคว้าแชมป์ลีก 2 สมัยในฤดูกาล 2020/21 และ 2023/24

 

ดังนั้นระบบการเล่นนี้คือสิ่งที่เขาเชื่อและยึดมั่นมาตลอดการทำงานในบทบาทโค้ช

 

ถ้าจะเปลี่ยน ก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความเชื่อทั้งหมด ซึ่งไม่ง่าย

 

และนั่นทำให้อโมริมบอกอีกครั้งว่าคนเดียวที่จะทำให้เขาเปลี่ยนได้ก็มีแต่ตัวเองเท่านั้น (ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่ใช่ในเวลานี้)

 

รูเบน อโมริม กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

คนดื้อไม่ได้มีแค่คนเดียว

 

เดินถอยหลังกลับมาอีกนิดสักก้าวสองก้าว แล้วกลับมาคิดดูจะพบว่าความจริงแล้วบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่อโมริมเท่านั้นที่ยืนหยัดในความเชื่อของตัวเอง

 

ในโลกฟุตบอลก็มีคนที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองแบบนี้มากมาย ซึ่งก็มีหลายคนที่โดดเด่นในจุดนี้

 

“เอล โลโค” มาร์เซโล บิเอลซา ปราชญ์ลูกหนังชาวอาร์เจนตินาเป็นหนึ่งในคนที่จะทำเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อเสมอโดยที่ไม่สนใจว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร หรือทีมจะเผชิญกับอะไรอยู่ ตกอยู่ในสภาวะไหนก็ตาม

 

ย้อนกลับไปไม่กี่ปีก่อนในช่วงที่คุมทีม ลีดส์​ ยูไนเต็ด ทีมยูงทองประสบปัญหาผลงานการเล่นเริ่มต่ำ สไตล์การเล่นเพรสซิงสุดมันของพวกเขาเริ่มถูกแก้ทางได้ บิเอลซาตกอยู่ในสภาวะแบบเดียวกับอโมริมคือเขาถูกขอให้เปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นใหม่

 

แต่สิ่งที่ “คุรุ” ของวงการทำคือการปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงตามเสียงเหล่านั้น เขายังยืนยันจะให้ทีมเล่นในแบบเดิมเท่านั้น

 

สุดท้ายบิเอลซาถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลีดส์ในที่สุด แต่ก็เป็นวันที่เศร้าที่สุดสำหรับแฟนบอลด้วยเช่นกันเพราะถ้าไม่มีบรมกุนซือผู้นี้มารับงานคุมทีมให้ทั้งๆ ที่อยู่ในระดับลีกรอง อดีตยักษ์ใหญ่จากแคว้นแลงคาเชียร์อาจจะไม่มีวันได้กลับมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งก็ได้

 

ตัวอย่างอีกคนที่ยืนหยัดในความเชื่อของตัวเองคือ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ที่เซ็นชื่อของตัวเองไว้ด้วยปากกาเมจิกที่มองไม่เห็นบนเสื้อของนักเตะทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ทุกคน ด้วยสไตล์การเล่น “High-line” เลเวลสูงสุด

 

หนึ่งในเกมที่สร้างชื่ออย่างมากคือเกมในฤดูกาล 2023/24 ที่สเปอร์สต้องเหลือผู้เล่นแค่ 9 คนในการเจอกับเชลซี แต่บอสชาวออสเตรเลียสายเลือดกรีซยังยืนยันจะให้ทีมเล่นในแบบเดิม สุดท้ายแม้ทีมจะแพ้ย่อยยับ แต่ก็ได้ใจแฟนฟุตบอลส่วนหนึ่งพอสมควร

 

ปัญหาคือฟุตบอลในแบบของเขามีอายุไม่นาน ทีมประสบปัญหาอาการบาดเจ็บมากมายที่เชื่อว่าเป็นผลจากระบบการเล่นที่ใช้ร่างกายของผู้เล่นในทีมอย่างหนักเกินไป และทีมก็เล่นได้ย่ำแย่ลงเรื่อยๆจนแทบมองไม่เห็นลายเซ็นนั้นอีก 

 

แต่อย่างน้อยปอสเตโคกลู ก็ทำในสิ่งที่เขาเคยลั่นวาจาไว้ว่า “ทีมของเขาจะได้แชมป์ในฤดูกาลที่ 2 เสมอ” (และนั่นก็มาจากการเอาชนะทีมของอโมริมด้วย…) ถึงสุดท้ายจะโดนปลดจากตำแหน่งในเวลาต่อมาก็ตาม

 

รูเบน อโมริม กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

Reinvent โลกหมุนไป เราต้องเปลี่ยนแปลงสิ

 

มีคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนแล้ว ก็ต้องมีคนที่ยอมเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน ซึ่งในเกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมี 2 กรณีศึกษาที่น่าสนใจ

 

คนแรกคือ อันโตนิโอ คอนเต กุนซือคนห้าวผู้ที่สร้างปรากฏการณ์พาเชลซี ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาล 2016/17 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

 

สิ่งที่ทำให้คอนเตพาเชลซีที่เริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ถึงกับดีนักกลับมาติดลมบนคว้าแชมป์ได้ เกิดจากการตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเล่นใหม่จากระบบการเล่นแบบกองหลัง 4 คน มาเป็นระบบการเล่น 3-5-2 ที่ได้มาจากการทดลองในช่วงครึ่งหลังของเกมที่พบกับอาร์เซนอล

 

ผลการทดลองในวันนั้นทำให้กุนซือชาวอิตาลี ค้นพบว่าระบบการเล่นแบบนี้มีความเหมาะสมกับนักฟุตบอลในทีมมากกว่า และมีทีเด็ดอยู่ที่วิงแบ็ก 2 ฝั่งอย่าง มาร์กอส อลอนโซ กับวิคเตอร์ โมเซส ที่มีทั้งทักษะและพละกำลังที่จะวิ่งขึ้นวิ่งลง สร้างสรรค์เกมให้ทีมตัวเอง และทำลายเกมรุกฝ่ายตรงข้ามได้

 

อย่างไรก็ดี “หัวใจ” ในการทำงานของคอนเตไม่ได้อยู่ที่ “ระบบ” แต่เป็น “คน” หาวิธีการใช้คนให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ที่สุด

 

คนที่ 2 ที่ปรับเปลี่ยนทีมตลอดคือเป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกสมัยใหม่ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “นักประดิษฐ์” ของโลกลูกหนังยุคศตวรรษที่ 21

 

อย่างที่ทุกคนรู้ เป๊ป คือผู้ที่ทำให้เกิดเทรนด์ของฟุตบอลในแบบเน้นการครองบอล (Positional ball) ที่คิดค้นมาตั้งแต่ยุคการคุมทีมบาร์เซโลนา และฟุตบอลในแบบ Tiki-taka (ชื่อที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย) รวมถึงการคิดค้นตำแหน่ง False nine ที่ไม่ใช่แค่ทำให้บาร์ซาครองโลก แต่ยังเปลี่ยนลิโอเนล เมสซี ให้เป็นราชาลูกหนังของโลกด้วย

 

มาถึงบาเยิร์น มิวนิค เป๊ปประดิษฐ์แท็กติกใหม่ด้วยการใช้ Inverted-fullback โดยกำหนดให้โยชัว คิมมิช แบ็กขวามันสมองของทีมหุบเข้ามาตรงกลางเพื่อเติมจำนวนผู้เล่นในแดนกลางและควบคุมให้บอลอยู่ในการคอนโทรลของทีมมากที่สุด และทำให้เกิดเทรนด์แบ็กหุบในแบบนี้อยู่หลายปี

 

กับแมนฯ ซิตีเอง แม้จะประสบความสำเร็จมากมายได้แชมป์ลีกถึง 7 จาก 9 ฤดูกาล แต่เป๊ปเองก็เคยเจอช่วงเวลายากลำบากโดยเฉพาะในปี 2020 ที่เซร์จิโอ อเกวโร หัวหอกตัวเก่งเริ่มโรยรามีอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้ต้องคิดแผนการเล่นในแบบใหม่ และพบคำตอบในการใช้กองกลางที่มีเซนส์ในการเขยิบเข้ากรอบเขตโทษอย่างอิลคาย กุนโดวาน หรือฟิล โฟเดน ในตำแหน่งศูนย์หน้าจำเป็น ทำให้ทีมกลับมาคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2020/21 ได้สำเร็จ

 

โดยที่ทุกวันนี้เป๊ปก็ยังคงพยายามคิดค้นหาสูตรลูกหนังใหม่ๆ ที่จะพาทีมกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

 

รูเบน อโมริม กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

แล้วอโมริมควรจะเปลี่ยนแผนจริงไหม?

 

คนเกือบทั้งโลกก็มองเห็นเหมือนกันหมดว่าระบบ 3-4-2-1 (หรือจะ 3-4-3, 3-2-5 ในเกมรุก, 5-2-3 ในเกมรับ หรือ 5-4-1 ในเกมรับลึก) ที่อโมริมยึดมั่นมันไม่เวิร์ก ไม่ได้ผล

 

ปัญหาใหญ่ที่มองกันคือนักฟุตบอลที่มีไม่เข้ากับระบบการเล่น ลูกทีมเกิดอาการสับสน ไม่มั่นใจว่าควรจะเคลื่อนที่แบบไหน ไปอยู่ที่จุดไหน และจะเล่นกันแบบไหน ที่แย่กว่านั้นคืออโมริมเองก็ดูจะไม่รู้คำตอบด้วยซ้ำว่าเขาจะจัดทีมแบบไหนถึงจะออกมาดีและลงตัวที่สุด

 

จุดใหญ่เท่าฝาหม้อในเวลานี้คือมิดฟิลด์คู่กลางที่ทำให้อะไรๆ มันดูติดขัดไปหมด การถอยบรูโน เฟอร์นันเดส กัปตันทีมลงมาจากบทบาทกองกลางตัวรุก นอกจากจะลดทอนความอันตรายในแดนหน้า ยังทำให้แดนกลางขาดความสมดุลอย่างแรง เพียงแต่ก็ต้องใช้ตรงนี้เพราะไม่รู้จะใช้ที่ไหนแล้ว

 

ไหนจะการทดลองจับเมสัน เมาต์ไปยืนวิงแบ็กซ้ายที่ไม่ได้ผล เช่นกันกับอาหมัด ดิยาลโล นักเตะที่ดีที่สุดในฤดูกาลที่แล้วก็ถูกขยับสลับตำแหน่งไปเรื่อย ส่วนค็อบบี เมนู กองกลางที่ดีที่สุดของทีมอีกคนต้องตกเป็นตัวสำรองอดทน แม้ว่ามานูเอล อูการ์เต และคาเซมิโร จะทำหน้าที่ได้แย่ก็ตามในบทกองกลางตัวรับ

 

อย่างไรก็ดีในมุมนักวิเคราะห์อย่างแดนนี เมอร์ฟีย์ แห่ง BBC Sport มองว่าจริงๆแล้วอโมริม กำลังจูนแมนฯ​ ยูไนเต็ดอยู่และก็ถือว่าทำได้ดีด้วย โดยทีมดูมีทรง (Shape) มากกว่าในฤดูกาลที่แล้ว เล่นกันตลอดได้แน่นเป็นกลุ่มก้อนทั้งเกมรับและเกมรุก ซึ่งจะมองเห็นในเกมกับแมนฯ ซิตี ว่าก็มีช่วงที่สามารถต่อบอลสู้กันได้อยู่

 

ปัญหาคือตัวผู้เล่นที่มีไม่ดีพอ เกมรับทำผิดพลาดจนเสียประตูง่ายๆ และเกมรุกก็ไม่เฉียบขาดเฉียบคมพอที่จะมีสกอร์ได้

 

ฟังแบบนี้แล้วเหมือนจะใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพียงแต่เมอร์ฟีย์สรุปว่า ถึงอโมริมจะมีความพยายามและตั้งใจดี แต่ปัญหาคือตัวของเขาเองก็ยังมีปัญหากับความคิดของตัวเอง และแก้ปัญหาไม่ตกโดยเฉพาะการต้องใส่บรูโน ไว้ในตำแหน่งกองกลางตัวรับ 

 

มันจะทำให้บทสรุปทุกอย่างจบเหมือนเดิม เพราะเป็นการทดลองด้วยวิธีเดิมๆ

 

ไม่ต่างจากอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยบอกไว้ “ถ้าเอาแต่ทดลองแบบเดิมๆ จะคาดหวังผลแบบใหม่ได้อย่างไร”

 

เพียงแต่สำหรับอโมริมแล้ว บางทีเขาอาจจะใช้ชีวิตตามปรัชญา “สโตอิก” (ฟังเพิ่มเติมได้จากรายการ Shortcut ปรัชญา) อยู่ ก็เป็นไปได้นะครับ

 

 

 

เพราะจับความรู้สึกจากถ้อยคำแล้ว เหมือนได้ยินเสียงความในใจกระซิบเบาๆ บอกว่า “ช่างแม่ง!” อย่างไรชอบกล

 

อ้างอิง

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising