ประเด็นสำคัญ
“มันมีสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมากมาย ไม่มีใครรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ผมจะไม่มีวันยอมเปลี่ยนแปลงอะไรแน่ ถ้าผมอยากจะเปลี่ยนแปลงปรัชญาของตัวเอง ผมจะทำเอง แต่ถ้าผมยังไม่คิดจะเปลี่ยนความคิด คุณก็ต้องเปลี่ยนที่ตัวคนแทน”
นี่เป็นอีกครั้งที่รูเบน อโมริม ยืนยันว่าเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงปรัชญาการเล่นในแบบของตัวเอง 3-4-2-1 แม้ว่าทีมจะยังคงทำผลงานได้ย่ำแย่และเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ซึ่งล่าสุดการแพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี ทำให้ทีมมีแค่ 4 คะแนนจากการลงสนาม 4 นัดแรกของฤดูกาล เป็นผลงานที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เข้ายุคพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1992/93 ก็ตาม
คำถามที่อยากชวนคิดไปด้วยกันในวันนี้คือ ทำไมรูเบน อโมริมถึงเปลี่ยนแผนการเล่นให้ไม่ได้?
แต่ก่อนอื่นลองฟังความเห็นจาก รอย คีน อดีตกัปตันผู้ยิ่งใหญ่แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ดกันก่อน “มันทำให้ผมกังวล” มิดฟิลด์เลือดเดือดให้ความเห็นในรายการวิเคราะห์ทางสถานี Sky Sports “แมนฯ ยูไนเต็ดทีมนี้ขาดคุณภาพในการเล่นอย่างชัดเจน ลองดูผลการแข่ง ลองดูจำนวนแต้มต่อเกม จำนวนประตูได้และเสีย มันดูไม่ดีเลย”
สิ่งที่คีนพูดนั้นเป็นไปตามเนื้อผ้า แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้ยุคของอโมริมยังคงดำดิ่งไปกับความ New-low เรื่อยๆ โดยสถิติล่าสุดที่ทำได้คือการออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างเลวร้ายที่สุดเก็บได้เพียงแค่ 4 จาก 12 แต้มเต็มเท่านั้น
ทั้งๆ ที่ลงทุนไปมากกว่า 200 ล้านปอนด์ในช่วงปิดฤดูกาล!
ถึงแม้ว่าครั้งสุดท้ายที่ทีมปีศาจแดงออกสตาร์ทเลวร้ายขนาดนี้จะจบด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 26 ปีของสโมสร แต่ความแตกต่างกันระหว่างวันนี้กับวันนั้นคือในฤดูกาลก่อนหน้า (1991/92) แมนฯ ยูไนเต็ด จบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์ ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี และพวกเขาได้จิ๊กซอว์สำคัญชิ้นสุดท้ายอย่างเอริค คันโตนา
ในขณะที่อโมริม ผลงานเลวร้ายจัดจนละเหี่ยใจ โดยที่ Opta คำนวณว่าพวกเขามีโอกาสตกชั้น (11 เปอร์เซ็นต์) ได้มากกว่าที่จะจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมท็อป 5 ที่จะได้ไปยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีกเสียอีก (7.3 เปอร์เซ็นต์)
และถ้านับตั้งแต่ช่วงที่เข้ามาคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด คือทีมที่ทำผลงานได้เลวร้ายที่สุดในพรีเมียร์ลีก โดยเก็บได้แค่ 31 แต้มจาก 31 นัดที่ลงสนาม ไม่มีทีมไหนจะทำผลงานได้แย่ขนาดนี้อีกแล้ว
แน่นอนว่าปัญหาเดียวปัญหาเดิมที่ทุกคนพูดถึงมาตลอดคือระบบการเล่น 3-4-2-1 (หรือจะ 3-4-3 ก็ได้ไม่ผิด) ของเขาที่ผ่านมา 10 เดือนแล้วก็ยังไม่มีแววว่าจะเป็นโล้เป็นพาย แต่กลายเป็นพะโล้หมูสามชั้นนุ่มๆสำหรับทีมต่างๆได้เคี้ยวกันหยุ่นๆชุ่มลิ้น
เสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบบการเล่นดังไม่เคยหยุด แต่ก็เช่นเดียวกับกุนซือคนหนุ่มวัย 40 ปีชาวโปรตุเกสที่ยืนยัน หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีวันเปลี่ยน
เพราะอะไร?
เพราะมันไม่ใช่แค่แผนแต่คือความเชื่อทั้งชีวิต
ในความดื้อรั้นของอโมริม บางทีเราต้องกลับมาคิดเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่หลายคนเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนและปรับสักนิด บางทีแมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะพลิกกลับมาทำผลงานกระฉูดแล้วก็เป็นได้
เหตุผลนั้นอาจเป็นเพราะปรัชญาหรือระบบการเล่น 3-4-2-1 นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ระบบการเล่นธรรมดา
แต่มันหมายถึงความเชื่อทั้งชีวิตของลูกผู้ชายที่ชื่อรูเบน อโมริมเลยทีเดียว
ทุกอย่างต้องย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นในช่วงแรกที่เขาได้โอกาสสัมผัสงานในการคุมทีมกับสโมสร คาซา เปีย ในฤดูกาล 2018/19
อโมริม ในเวลานั้นเพิ่งจะประกาศอำลาวงการมาหมาดๆ ในวัย 32 ปี หลังประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรุนแรงเอ็นเข่าฉีกขาด กำลังศึกษาวิชาการเป็นโค้ช โดยหนึ่งใน “ชั้นเรียน” ในช่วงที่เข้ารับการอบรมคือการเข้าไปเข้าไปชมการฝึกสอนของโชเซ มูรินโญ “The Special One” ที่กำลังคุมแมนฯ ยูไนเต็ดด้วย เรียกว่าวิชากำลังร้อน
แต่ผลงานในการคุมทีม 2 นัดแรกของเขากลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด คาซา แพ้รวดทั้ง 2 นัด และทำให้อโมริม เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการคุมทีมของตัวเองว่าสิ่งที่เขารู้และเชื่อมานั้นผิดไปหรือเปล่า ความภาคภูมิใจที่สั่งสมมาถูกท้าทายอย่างหนักจากความผิดหวัง
สิ่งที่อโมริมทำคือการประกาศกับลูกทีมว่าขอให้เชื่อและทำตามเขาสักนิด ถ้ามันยังไม่ได้ผลอีก เขาจะลาออกจากตำแหน่งเอง
ในเกมที่ 3 กับคาซา อโมริมสั่งเปลี่ยนระบบการเล่นใหม่มาใช้กองหลัง 3 ตัวเป็นครั้งแรก และปรากฏว่ามันได้ผล! เขาสัมผัสได้ว่านี่คือระบบการเล่นที่จะนำไปสู่ฟุตบอลในแบบที่เขาอยากเห็นและอยากให้เป็น ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาเรื่อย
จนกระทั่งมาถึงจุดสูงสุดในช่วงการคุมทีมสปอร์ติง ลิสบอน พาทีมคว้าแชมป์ลีก 2 สมัยในฤดูกาล 2020/21 และ 2023/24
ดังนั้นระบบการเล่นนี้คือสิ่งที่เขาเชื่อและยึดมั่นมาตลอดการทำงานในบทบาทโค้ช
ถ้าจะเปลี่ยน ก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความเชื่อทั้งหมด ซึ่งไม่ง่าย
และนั่นทำให้อโมริมบอกอีกครั้งว่าคนเดียวที่จะทำให้เขาเปลี่ยนได้ก็มีแต่ตัวเองเท่านั้น (ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่ใช่ในเวลานี้)
คนดื้อไม่ได้มีแค่คนเดียว
เดินถอยหลังกลับมาอีกนิดสักก้าวสองก้าว แล้วกลับมาคิดดูจะพบว่าความจริงแล้วบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่อโมริมเท่านั้นที่ยืนหยัดในความเชื่อของตัวเอง
ในโลกฟุตบอลก็มีคนที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองแบบนี้มากมาย ซึ่งก็มีหลายคนที่โดดเด่นในจุดนี้
“เอล โลโค” มาร์เซโล บิเอลซา ปราชญ์ลูกหนังชาวอาร์เจนตินาเป็นหนึ่งในคนที่จะทำเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อเสมอโดยที่ไม่สนใจว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร หรือทีมจะเผชิญกับอะไรอยู่ ตกอยู่ในสภาวะไหนก็ตาม
ย้อนกลับไปไม่กี่ปีก่อนในช่วงที่คุมทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมยูงทองประสบปัญหาผลงานการเล่นเริ่มต่ำ สไตล์การเล่นเพรสซิงสุดมันของพวกเขาเริ่มถูกแก้ทางได้ บิเอลซาตกอยู่ในสภาวะแบบเดียวกับอโมริมคือเขาถูกขอให้เปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นใหม่
แต่สิ่งที่ “คุรุ” ของวงการทำคือการปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงตามเสียงเหล่านั้น เขายังยืนยันจะให้ทีมเล่นในแบบเดิมเท่านั้น
สุดท้ายบิเอลซาถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลีดส์ในที่สุด แต่ก็เป็นวันที่เศร้าที่สุดสำหรับแฟนบอลด้วยเช่นกันเพราะถ้าไม่มีบรมกุนซือผู้นี้มารับงานคุมทีมให้ทั้งๆ ที่อยู่ในระดับลีกรอง อดีตยักษ์ใหญ่จากแคว้นแลงคาเชียร์อาจจะไม่มีวันได้กลับมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งก็ได้
ตัวอย่างอีกคนที่ยืนหยัดในความเชื่อของตัวเองคือ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ที่เซ็นชื่อของตัวเองไว้ด้วยปากกาเมจิกที่มองไม่เห็นบนเสื้อของนักเตะทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ทุกคน ด้วยสไตล์การเล่น “High-line” เลเวลสูงสุด
หนึ่งในเกมที่สร้างชื่ออย่างมากคือเกมในฤดูกาล 2023/24 ที่สเปอร์สต้องเหลือผู้เล่นแค่ 9 คนในการเจอกับเชลซี แต่บอสชาวออสเตรเลียสายเลือดกรีซยังยืนยันจะให้ทีมเล่นในแบบเดิม สุดท้ายแม้ทีมจะแพ้ย่อยยับ แต่ก็ได้ใจแฟนฟุตบอลส่วนหนึ่งพอสมควร
ปัญหาคือฟุตบอลในแบบของเขามีอายุไม่นาน ทีมประสบปัญหาอาการบาดเจ็บมากมายที่เชื่อว่าเป็นผลจากระบบการเล่นที่ใช้ร่างกายของผู้เล่นในทีมอย่างหนักเกินไป และทีมก็เล่นได้ย่ำแย่ลงเรื่อยๆจนแทบมองไม่เห็นลายเซ็นนั้นอีก
แต่อย่างน้อยปอสเตโคกลู ก็ทำในสิ่งที่เขาเคยลั่นวาจาไว้ว่า “ทีมของเขาจะได้แชมป์ในฤดูกาลที่ 2 เสมอ” (และนั่นก็มาจากการเอาชนะทีมของอโมริมด้วย…) ถึงสุดท้ายจะโดนปลดจากตำแหน่งในเวลาต่อมาก็ตาม
Reinvent โลกหมุนไป เราต้องเปลี่ยนแปลงสิ
มีคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนแล้ว ก็ต้องมีคนที่ยอมเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน ซึ่งในเกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมี 2 กรณีศึกษาที่น่าสนใจ
คนแรกคือ อันโตนิโอ คอนเต กุนซือคนห้าวผู้ที่สร้างปรากฏการณ์พาเชลซี ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาล 2016/17 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
สิ่งที่ทำให้คอนเตพาเชลซีที่เริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ถึงกับดีนักกลับมาติดลมบนคว้าแชมป์ได้ เกิดจากการตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเล่นใหม่จากระบบการเล่นแบบกองหลัง 4 คน มาเป็นระบบการเล่น 3-5-2 ที่ได้มาจากการทดลองในช่วงครึ่งหลังของเกมที่พบกับอาร์เซนอล
ผลการทดลองในวันนั้นทำให้กุนซือชาวอิตาลี ค้นพบว่าระบบการเล่นแบบนี้มีความเหมาะสมกับนักฟุตบอลในทีมมากกว่า และมีทีเด็ดอยู่ที่วิงแบ็ก 2 ฝั่งอย่าง มาร์กอส อลอนโซ กับวิคเตอร์ โมเซส ที่มีทั้งทักษะและพละกำลังที่จะวิ่งขึ้นวิ่งลง สร้างสรรค์เกมให้ทีมตัวเอง และทำลายเกมรุกฝ่ายตรงข้ามได้
อย่างไรก็ดี “หัวใจ” ในการทำงานของคอนเตไม่ได้อยู่ที่ “ระบบ” แต่เป็น “คน” หาวิธีการใช้คนให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ที่สุด
คนที่ 2 ที่ปรับเปลี่ยนทีมตลอดคือเป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกสมัยใหม่ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “นักประดิษฐ์” ของโลกลูกหนังยุคศตวรรษที่ 21
อย่างที่ทุกคนรู้ เป๊ป คือผู้ที่ทำให้เกิดเทรนด์ของฟุตบอลในแบบเน้นการครองบอล (Positional ball) ที่คิดค้นมาตั้งแต่ยุคการคุมทีมบาร์เซโลนา และฟุตบอลในแบบ Tiki-taka (ชื่อที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย) รวมถึงการคิดค้นตำแหน่ง False nine ที่ไม่ใช่แค่ทำให้บาร์ซาครองโลก แต่ยังเปลี่ยนลิโอเนล เมสซี ให้เป็นราชาลูกหนังของโลกด้วย
มาถึงบาเยิร์น มิวนิค เป๊ปประดิษฐ์แท็กติกใหม่ด้วยการใช้ Inverted-fullback โดยกำหนดให้โยชัว คิมมิช แบ็กขวามันสมองของทีมหุบเข้ามาตรงกลางเพื่อเติมจำนวนผู้เล่นในแดนกลางและควบคุมให้บอลอยู่ในการคอนโทรลของทีมมากที่สุด และทำให้เกิดเทรนด์แบ็กหุบในแบบนี้อยู่หลายปี
กับแมนฯ ซิตีเอง แม้จะประสบความสำเร็จมากมายได้แชมป์ลีกถึง 7 จาก 9 ฤดูกาล แต่เป๊ปเองก็เคยเจอช่วงเวลายากลำบากโดยเฉพาะในปี 2020 ที่เซร์จิโอ อเกวโร หัวหอกตัวเก่งเริ่มโรยรามีอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้ต้องคิดแผนการเล่นในแบบใหม่ และพบคำตอบในการใช้กองกลางที่มีเซนส์ในการเขยิบเข้ากรอบเขตโทษอย่างอิลคาย กุนโดวาน หรือฟิล โฟเดน ในตำแหน่งศูนย์หน้าจำเป็น ทำให้ทีมกลับมาคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2020/21 ได้สำเร็จ
โดยที่ทุกวันนี้เป๊ปก็ยังคงพยายามคิดค้นหาสูตรลูกหนังใหม่ๆ ที่จะพาทีมกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
แล้วอโมริมควรจะเปลี่ยนแผนจริงไหม?
คนเกือบทั้งโลกก็มองเห็นเหมือนกันหมดว่าระบบ 3-4-2-1 (หรือจะ 3-4-3, 3-2-5 ในเกมรุก, 5-2-3 ในเกมรับ หรือ 5-4-1 ในเกมรับลึก) ที่อโมริมยึดมั่นมันไม่เวิร์ก ไม่ได้ผล
ปัญหาใหญ่ที่มองกันคือนักฟุตบอลที่มีไม่เข้ากับระบบการเล่น ลูกทีมเกิดอาการสับสน ไม่มั่นใจว่าควรจะเคลื่อนที่แบบไหน ไปอยู่ที่จุดไหน และจะเล่นกันแบบไหน ที่แย่กว่านั้นคืออโมริมเองก็ดูจะไม่รู้คำตอบด้วยซ้ำว่าเขาจะจัดทีมแบบไหนถึงจะออกมาดีและลงตัวที่สุด
จุดใหญ่เท่าฝาหม้อในเวลานี้คือมิดฟิลด์คู่กลางที่ทำให้อะไรๆ มันดูติดขัดไปหมด การถอยบรูโน เฟอร์นันเดส กัปตันทีมลงมาจากบทบาทกองกลางตัวรุก นอกจากจะลดทอนความอันตรายในแดนหน้า ยังทำให้แดนกลางขาดความสมดุลอย่างแรง เพียงแต่ก็ต้องใช้ตรงนี้เพราะไม่รู้จะใช้ที่ไหนแล้ว
ไหนจะการทดลองจับเมสัน เมาต์ไปยืนวิงแบ็กซ้ายที่ไม่ได้ผล เช่นกันกับอาหมัด ดิยาลโล นักเตะที่ดีที่สุดในฤดูกาลที่แล้วก็ถูกขยับสลับตำแหน่งไปเรื่อย ส่วนค็อบบี เมนู กองกลางที่ดีที่สุดของทีมอีกคนต้องตกเป็นตัวสำรองอดทน แม้ว่ามานูเอล อูการ์เต และคาเซมิโร จะทำหน้าที่ได้แย่ก็ตามในบทกองกลางตัวรับ
อย่างไรก็ดีในมุมนักวิเคราะห์อย่างแดนนี เมอร์ฟีย์ แห่ง BBC Sport มองว่าจริงๆแล้วอโมริม กำลังจูนแมนฯ ยูไนเต็ดอยู่และก็ถือว่าทำได้ดีด้วย โดยทีมดูมีทรง (Shape) มากกว่าในฤดูกาลที่แล้ว เล่นกันตลอดได้แน่นเป็นกลุ่มก้อนทั้งเกมรับและเกมรุก ซึ่งจะมองเห็นในเกมกับแมนฯ ซิตี ว่าก็มีช่วงที่สามารถต่อบอลสู้กันได้อยู่
ปัญหาคือตัวผู้เล่นที่มีไม่ดีพอ เกมรับทำผิดพลาดจนเสียประตูง่ายๆ และเกมรุกก็ไม่เฉียบขาดเฉียบคมพอที่จะมีสกอร์ได้
ฟังแบบนี้แล้วเหมือนจะใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพียงแต่เมอร์ฟีย์สรุปว่า ถึงอโมริมจะมีความพยายามและตั้งใจดี แต่ปัญหาคือตัวของเขาเองก็ยังมีปัญหากับความคิดของตัวเอง และแก้ปัญหาไม่ตกโดยเฉพาะการต้องใส่บรูโน ไว้ในตำแหน่งกองกลางตัวรับ
มันจะทำให้บทสรุปทุกอย่างจบเหมือนเดิม เพราะเป็นการทดลองด้วยวิธีเดิมๆ
ไม่ต่างจากอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยบอกไว้ “ถ้าเอาแต่ทดลองแบบเดิมๆ จะคาดหวังผลแบบใหม่ได้อย่างไร”
เพียงแต่สำหรับอโมริมแล้ว บางทีเขาอาจจะใช้ชีวิตตามปรัชญา “สโตอิก” (ฟังเพิ่มเติมได้จากรายการ Shortcut ปรัชญา) อยู่ ก็เป็นไปได้นะครับ
เพราะจับความรู้สึกจากถ้อยคำแล้ว เหมือนได้ยินเสียงความในใจกระซิบเบาๆ บอกว่า “ช่างแม่ง!” อย่างไรชอบกล
อ้างอิง
- https://www.telegraph.co.uk/football/2025/09/14/why-ruben-amorim-system-not-working-at-manchester-united/
- https://www.telegraph.co.uk/football/2025/09/11/ruben-amorim-has-removed-ten-hag-mistake-andre-onana/
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/cx2x70gqllro
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/cdxqgd40qlqo
- https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/football-news/ruben-amorim-explains-3-4-31138173