วันนี้ (13 มีนาคม) รังสิมันต์ โรม สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการนำคณะสื่อมวลชนไปติดตามความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์โดยรัฐบาลว่า อยากให้มองสาระสำคัญคือสื่อมวลชนที่ไปจะมีอิสระในการทำข่าวมากน้อยแค่ไหน หากสื่อมวลชนมีอิสระในการทำข่าวหรือสอบถามพูดคุย โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปกับคณะตลอดเวลาแบบนี้จะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าต้องไปตามจุดที่วางไว้ แตกแถวไม่ได้ ก็อาจจะไม่ได้เห็นภาพที่แท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้น
รังสิมันต์มองว่า เรื่องนี้ถ้าอยากให้เรื่องคลี่คลาย รัฐบาลไทยต้องพูดคุยกับรัฐบาลจีนว่าการที่มีความร่วมมือแบบนี้สังคมไทยฝ่ายการเมืองในไทย สภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล เป็นห่วงว่าสุดท้ายกำลังทำผิดกฎหมายภายในประเทศและระหว่างประเทศหรือไม่
รังสิมันต์ระบุว่า หากอยากให้มีความมั่นใจก็ต้องสร้างความมั่นใจตั้งแต่กระบวนการแรก รวมถึงให้อิสระในการทำข่าวมากน้อยแค่ไหน ซึ่งประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่า 40 คนมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไรต้องดูต่อว่าอีก 100 กว่าคนที่ส่งไปก่อนหน้านี้เมื่อสมัยรัฐบาล คสช. มีชีวิตอยู่หรือไม่
นอกจากนี้มีรายงานที่ว่าสถานการณ์ในซินเจียงวิกฤตมาก ต้องดูว่าข้อมูลนี้มีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน อาจจะเป็นเครื่องยืนยันว่าเราอาจจะทำผิดในการส่งชาวอุยกูร์ไปตาย กลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน กฎหมายระหว่างประเทศ และที่น่าเจ็บปวดคือ พ.ร.บ.ป้องกันการอุ้มหาย เป็นกฎหมายที่จะเอาผิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ที่อาจจะซวยไปด้วย เพราะทำตามคำสั่งของผู้มีอำนาจ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่คิดไม่รอบด้าน
“เรื่องนี้ไม่โปร่งใสแน่นอน หากโปร่งใสคงไม่ส่งกลับตอนดึกขนาดนั้นคงไม่มีการติดสติกเกอร์ปิดทึบแบบนั้น ถ้าโปร่งใสรัฐบาลควรแถลงข่าวชี้แจงกับประชาชนไปแล้ว สุดท้ายปัญหาจะเกิดขึ้นกับประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับไม่ว่าจะเกิดอะไรก็แล้วแต่” รังสิมันต์กล่าว