Q: ทำไมคนสมัยนี้ประสบความสำเร็จกันง่ายจังครับ ผมดูรายการหรืออ่านบทสัมภาษณ์ที่มีคนอายุน้อย แต่ทำธุรกิจได้เป็นร้อยล้านพันล้านแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองโคตรกระจอกเลย มันเหมือนการมีเงินเป็นร้อยล้านในช่วงอายุสามสิบกลายเป็นมาตรฐานของคนยุคนี้ไปแล้ว (บางคนยังไม่ถึงสามสิบก็ร้อยล้านแล้วก็หลายคน) ผมรู้สึกกดดันเพราะพอมองตัวเองผมก็อายุประมาณพวกเขานี่แหละ แต่มีเงินไม่มากขนาดนั้น (ยังอีกห่างไกลเลยล่ะครับ) ยังเป็นพนักงานออฟฟิศต๊อกต๋อยธรรมดาคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ผมก็ใช้ชีวิตปกติดีนะครับ แต่พอเห็นคนอื่นมีเงินเป็นล้านๆ ประสบความสำเร็จกันล้นบ้านล้นเมืองแบบนี้แล้วผมยิ่งรู้สึกไม่มีที่ยืน จริงๆ แล้วผมควรต้องประสบความสำเร็จให้ได้อย่างเขาแล้วใช่ไหมครับ
A: บอกก่อนตรงนี้เลยว่าผมก็มีไม่ถึงร้อยล้าน ถ้าเอาเงินร้อยล้านเป็นมาตรฐาน ผมก็คงรู้สึกว่าตัวเองโคตรกระจอก (เพราะฉะนั้น สรรพากรคงไม่ต้องมาจ้องอะไรผมมาก เขาคงไปสนใจคนในรายการหรือคนในบทสัมภาษณ์ร้อยล้านทั้งหลายมากกว่า ฮ่าๆ)
แต่ผมไม่ได้เอาเงินเป็นตัววัดความสำเร็จ เวลาดูรายการแบบนี้หรืออ่านบทสัมภาษณ์ของคนที่มีเงินเป็นร้อยล้าน ผมเลยไม่ค่อยคิดมากสักเท่าไร — แต่ได้เงินก็ชอบนะ ชอบมากด้วย ฮ่าๆ
ถ้าถามว่า ทำไมคนสมัยนี้ประสบความสำเร็จกันง่ายจัง ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นเพียงการดูที่ผิวเผินไป เล่าสู่กันฟังในฐานะสื่อที่ทำสัมภาษณ์มา (และไม่รู้ว่าที่ผ่านมาไปสร้างความกดดันให้ใครหรือเปล่า) สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือ ไม่ว่าจะเป็นรายการหรือสัมภาษณ์ใดก็ตาม ด้วยพื้นที่ที่จำกัด การเรียบเรียงตัดต่อ คำถามที่เจาะเฉพาะบางเรื่อง ฯลฯ สิ่งที่เราเห็นผ่านสื่อมันคือความจริงที่ผ่านการคัดกรอง ตัดตอน เรียบเรียงมาแล้วเพื่อการนำเสนอข้อเท็จจริงบางอย่าง มันคือชีวิตเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของคนที่ให้สัมภาษณ์ เป็นเพียงด้านหนึ่งที่เขาอยากให้คนได้รับรู้ ไม่ได้ฉายภาพชีวิตทั้งหมดของเขา ซึ่งนั่นแปลว่ามีความจริงอีกมากมายที่ไม่ได้รับการนำเสนอ จะด้วยการเรียบเรียงตัดต่อหรือตัดตอนของสื่อเอง หรือจากการที่ผู้ให้สัมภาษณ์ไม่ได้เปิดเผยก็ตาม
เพราะฉะนั้น สิ่งที่คุณเห็นผ่านสื่อว่าคนนั้นคนนี้อายุไม่เท่าไรก็ทำธุรกิจได้ร้อยล้านพันล้านกันแล้ว จนบางครั้งอาจเกิดความรู้สึกว่า ใครๆ ก็ประสบความสำเร็จกันง่ายจัง คุณไม่ได้กำลังรับรู้ชีวิตทั้งหมดทั้งมวลของเขา แต่มันคือชีวิตบางส่วนเล็กๆ ที่คุณจะได้รับรู้
สิ่งที่เราเห็นกันมันเหมือนยอดเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็งเตี้ยๆ ที่โผล่พ้นน้ำมาให้เห็นนิดเดียว และเราก็อาจจะเข้าใจจากการดูส่วนที่อยู่เหนือผิวน้ำมาว่าภูเขาน้ำแข็งมันก็มีเท่านี้แหละ แต่เบื้องล่างของภูเขาน้ำแข็งยังมีน้ำแข็งก้อนยักษ์ใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำซึ่งเรามองไม่เห็น เพราะฉะนั้น การดูเฉพาะยอดเหนือผิวน้ำมันจึงไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
ความสำเร็จใดๆ ในโลกที่เราเห็นกันนั้น เราเห็นมันเฉพาะไม่ถึง 1% ของสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เราอย่าลืมว่ากว่าที่เขาจะมาถึงความสำเร็จนั้นได้ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง เขาใช้ชีวิตอย่างไรกว่าจะถึงความสำเร็จ หรือมีปัจจัยอะไรเกื้อหนุนให้เขาไปถึงความสำเร็จนั้นได้บ้าง เพราะฉะนั้น มันง่ายมากที่จะตัดสินใครว่าประสบความสำเร็จง่ายจังเพียงเพราะเราเห็นแต่ ‘ปลายทาง’ ของเขา แต่เราต้องไม่ลืมว่า แล้ว ‘ระหว่างทาง’ ล่ะ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง
อารมณ์เดียวกับเวลาเราเห็นนักกีฬาโอลิมปิกได้เหรียญทอง เราเห็นเขาวิ่งแข่งง่ายจัง แต่เราต้องไม่ลืมนะครับว่าเขาต้องซ้อมมามากแค่ไหน ล้มมามากแค่ไหน เจ็บปวดมาระหว่างการซ้อมแค่ไหน แพ้มากี่ครั้ง ถอดใจไปบ้างไหม ใครเป็นโค้ช วางแผนอย่างไรมา ไปจนถึงมีปัจจัยเกื้อหนุนจากรัฐบาล ครอบครัว วิทยาศาสตร์การกีฬา ฯลฯ อย่างไร
แน่นอนครับว่ามันมีทั้งคนที่มี ‘ต้นทุน’ ที่เหนือกว่า เอื้อต่อการไปถึงความสำเร็จที่เขาตั้งไว้มากกว่าคนอื่น ทำให้การไปถึงจุดหมายของเขาเป็นไปได้ง่ายกว่าก็มี คนที่มีต้นทุนน้อยกว่าคนอื่น แต่เป็นคนสร้างปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จด้วยตัวเองก็มี
เพราะฉะนั้น บางทีเขาก็อาจจะไม่ได้เล่าหรอกครับว่า ที่บ้านรวยอยู่แล้ว ส่งเสริมอยู่แล้ว โตมาแบบนี้อยู่แล้ว การมาถึงจุดร้อยล้านได้มันไม่ได้เกินความสามารถอะไร ไปจนถึงบางทีที่เราอ่านเราดูกันว่าเขาต้องเจออุปสรรคอะไรที่ยากเย็นนั้น เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่ยากหรอกครับ โคตรของโคตรยากเลย แต่เราก็อาจจะไม่รู้ หรือที่เห็นเขาประสบความสำเร็จนั้น เขาพลาดมากี่หน หรือบริบททางสังคม ณ เวลานั้น เอื้อต่อความสำเร็จของเขาแค่ไหน พวกนี้เป็นสิ่งที่เราอาจจะไม่ได้รู้ แต่มันมีผลต่อความสำเร็จหมด
แน่นอนครับว่ามันมีทั้งคนที่มี ‘ต้นทุน’ ที่เหนือกว่า เอื้อต่อการไปถึงความสำเร็จที่เขาตั้งไว้มากกว่าคนอื่น ทำให้การไปถึงจุดหมายของเขาเป็นไปได้ง่ายกว่าก็มี คนที่มีต้นทุนน้อยกว่าคนอื่น แต่เป็นคนสร้างปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จด้วยตัวเองก็มี อย่าว่าแต่สัมภาษณ์ที่คุณอ่านหรือดูเลย ชีวิตคนรอบตัวเราก็เป็นแบบนี้หมด
เพราะฉะนั้นถ้าจะบอกว่า คนสมัยนี้ประสบความสำเร็จกันง่ายจัง ผมก็เลยคิดว่ามันทั้งจริงและไม่จริง จะมองให้ผิวเผินมันก็อาจจะจริงเพราะเราเห็นเพียงแต่ยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่ถ้ามองลงไปให้ลึกกว่านั้น เราอาจจะพบว่ามันมีอะไรซับซ้อนไปกว่าที่เราเห็น
เวลาผมดูสัมภาษณ์ชีวิตคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าความสำเร็จที่เขานิยามไว้จะเป็นเงินทอง ตำแหน่ง หน้าตาทางสังคม การมีคุณค่าในตัวเอง การช่วยเหลือสังคม ฯลฯ สิ่งหนึ่งที่ผมพบคือ แต่ละคนที่มาสัมภาษณ์มีนิยามความสำเร็จในชีวิตที่แตกต่างกัน นั่นทำให้เขาใช้ชีวิตที่ต่างกัน แม้กระทั่งนิยามไว้เหมือนกัน แต่วิธีการเพื่อให้ได้ความสำเร็จมาก็ต่างกัน นั่นแปลว่า ผมจะได้ดูวิธีการที่หลากหลายมาก บางอันอาจจะมาปรับใช้กับตัวเองได้ บางอันอาจจะใช้ไม่ได้ก็ไม่ได้เป็นปัญหา แต่สิ่งที่ผมได้มาจริงๆ จากการสัมภาษณ์และหลายครั้งเป็นผู้สัมภาษณ์เองด้วยซ้ำคือ ชีวิตมนุษย์นี่มันหลากหลายจริงๆ นะครับ แต่ละคนก็เหมือนตำราแต่ละบท ยิ่งเห็นชีวิตที่หลากหลายยิ่งได้เข้าใจความเป็นมนุษย์
อีกอย่าง เวลาเห็นคนประสบความสำเร็จ บางทีผมไม่ค่อยไปดูหรอกครับว่าอะไรคือความสำเร็จของเขา ผมชอบดูตอนที่เขากำลังสร้างทางไปสู่ความสำเร็จมากกว่า ผมอยากรู้ว่าเขาเผชิญอะไรมาบ้าง และเขาจัดการกับมันอย่างไร มองเห็นความสำเร็จของเขาแล้ว มองให้เห็นถึงความล้มเหลวของเขาด้วย หรือเขาจัดการอย่างไรกับความสำเร็จนั้น มันเปลี่ยนชีวิตเขาอย่างไร คุยกับคนตอนที่เขาประสบความสำเร็จ กับคุยกับเขาตอนที่ลงจากบัลลังก์แล้วนี่คนละเรื่องเลยนะครับ พวกนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้ เพราะมันสอนอะไรผมได้
ผมคิดว่าเวลาดูชีวิตของคนอื่นให้ดูเป็นบทเรียน ชื่นชมในความสำเร็จที่เขาทำได้ เรียนรู้จากเขา แต่เราอาจจะใช้วิธีเดียวกับเขาไม่ได้เพราะบริบทต่างกัน วิธีใครวิธีมัน เราดูแล้วมาหาวิธีการของตัวเอง ดูให้รู้แม้กระทั่งว่าใครคือตัวจริงตัวปลอม ใครเก่ง ใครกลวง แล้วเรียนรู้จากเขาให้ได้ ถอดบทเรียนจากเขาให้ได้ ผมว่าดูแบบนี้แล้วจะเป็นประโยชน์กับตัวเรา อย่าเอามากดดันตัวเอง เพราะชีวิตใครชีวิตมัน เราต้องออกแบบเองว่าเราอยากใช้ชีวิตแบบไหน
ผมคิดว่าการตอบตัวเองให้ได้ว่าเราอยากมีชีวิตแบบไหน อะไรคือความสำเร็จที่เราอยากจะไปให้ถึง เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของเราเอง อย่าใช้ชีวิตของคนอื่นมาเป็นมาตรฐานของชีวิตตัวเรา เราต้องเป็นคนกำหนดเอง ถ้าเราใช้ชีวิตอยู่กับการเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบตัวเองเสมอ ไม่ว่าสุดท้ายมันจะทำให้เราดูเหนือกว่าคนอื่นหรือด้อยกว่าคนอื่นก็ตาม เราจะไม่มีวันมีความสุขกับตัวเองได้เลย เพราะต้องให้คนอื่นมาเหยียบเราตลอดหรือไม่ก็ต้องหาคนอื่นมาให้เราเหยียบตลอด เหนื่อยตายเลยคุณ — เหมือนที่คุณบอกนั่นแหละครับว่าตอนแรกชีวิตก็ปกติดีอยู่ จนมาดูสัมภาษณ์ร้อยล้านนี่แหละ ฮ่าๆ
ความสำเร็จในนิยามของเราอาจเป็นการมีเงินร้อยล้านก็ได้ ไม่ผิด เลือกได้ตามสบาย แต่ต้องอยากทำแบบนั้นให้ได้เพราะเรารู้สึกว่ามันมีคุณค่า หรือเรามีเหตุผลที่ต้องมีร้อยล้าน ไม่ใช่เพราะคนอื่นมีเลยคิดว่าเราต้องมี ไม่อย่างนั้นเรียกว่าเราประสบความสำเร็จก็คงไม่ถูก
ที่สำคัญ ผมคิดว่าเราควรมองความสำเร็จในหลายมิติ อย่าผูกความสำเร็จของเราไว้กับเรื่องใดเรื่องเดียว งานก็เรื่องหนึ่ง ครอบครัวก็เรื่องหนึ่ง ความรักก็เรื่องหนึ่ง เพื่อนก็เรื่องหนึ่ง สังคมก็อีกเรื่องหนึ่ง ฯลฯ แต่ละด้านต้องการความสำเร็จที่ต่างกัน แล้วดูว่าจุดหมายของแต่ละด้านสามารถเชื่อมโยงกันอย่างไรได้บ้าง ไปด้วยกันได้ไหม ขัดกันหรือเปล่า และมีเป้าหมายย่อยๆ ให้บ่อยเพื่อให้เราสามารถไปถึงได้เรื่อยๆ จะได้ไม่รู้สึกว่ากว่าจะไปถึงจุดหมายแต่ละทีมันช่างไกลชะมัด มีเรื่องให้เราภูมิใจได้บ่อยๆ น่าจะดีต่อใจกว่าไปรอภูมิใจรอบเดียว
ตัวเราคือคนที่รู้ดีที่สุดว่าเราอยากมีชีวิตแบบไหน อย่าเอาชีวิตคนอื่นมาใช้เป็นชีวิตตัวเอง มันไม่เหมือนกัน ประสบความสำเร็จได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นความสำเร็จแบบที่คนอื่นทำ
เอาเป็นว่าถ้าจะบอกความลับอะไรสักอย่างให้กับคุณ ว่าผมเห็นอะไรในบรรดาคนที่ใครๆ ยกกันให้ว่าประสบความสำเร็จ เผื่อว่าสิ่งนี้คุณจะเอาไปใช้ได้ ผมเห็นสิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือ
พวกเขา ‘ลงมือทำ’ สิ่งที่เขาเชื่อ และพวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนพวกเราทุกคนนี่แหละครับ
คนที่อายุไม่มากไม่น้อยและมีเงินไม่ถึงร้อยล้านคนนี้เป็นกำลังใจให้ครับ
* ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai