×

กาก้า เทพบุตรลูกหนังผู้ได้รับมอบโอกาสจากพระเจ้า

18.12.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

9 Mins. Read
  • กาก้าถือเป็นนักฟุตบอลทีมชาติบราซิลชุดแชมป์โลก ปี 2002 คนสุดท้ายที่ประกาศอำลาสนาม
  • กาก้าเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ แตกต่างจากนักฟุตบอลคนอื่นๆ ในบราซิล แต่ความหลงใหลและทุ่มเทให้กับวงการฟุตบอลทำให้เขาไม่เคยประสบปัญหาความแตกต่างด้านฐานะ
  • ความฝันในการเป็นนักฟุตบอลของเขาเกือบดับสิ้นเมื่อต้องประสบอุบัติเหตุในสระว่ายน้ำจนกระดูกสันหลังร้าว ซึ่งกาก้าเชื่อว่าด้วยพลังของความศรัทธาต่อพระเจ้าที่ช่วยให้เขาสามารถกลับมาลงเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง และประสบความสำเร็จในอาชีพที่เขาชื่นชอบ
  • การอำลาสนามของกาก้าเป็นการส่งต่อคบเพลิงเพื่อฝากความหวังไว้กับนักฟุตบอลบราซิลชุดใหม่ที่นำทีมโดยเนย์มาร์ นักฟุตบอลชั้นนำที่เตรียมพาทีมลงทำศึกฟุตบอลโลก ปี 2018 ที่ประเทศรัสเซีย

เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว จากการติดตามผลการประกาศรางวัลบัลลงดอร์ทุกปี และแฟนบอลจะรู้ว่าผู้ได้รับรางวัลคงหนีไม่พ้นคริสเตียโน โรนัลโด ศูนย์หน้าจากเรอัล มาดริด หรือลิโอเนล เมสซี จากบาร์เซโลนา ที่คว้ากันไปแล้วคนละ 5 สมัย

 

แต่เมื่อย้อนเวลากลับไป 10 ปีก่อนหน้านี้ ก่อนที่โลกฟุตบอลจะถูกครอบครองโดยสองนักเตะรุ่นใหม่ ยังมีนักฟุตบอลที่ได้ฉายาว่า ‘เทพบุตรลูกหนัง’ จากประเทศบราซิลก้าวขึ้นมารับรางวัลบัลลงดอร์เหนือนักเตะสองคนดังกล่าวเมื่อปี 2007 คนคนนั้นคือ ริคาร์โด กาก้า อดีตกองกลางทีมชาติบราซิล ซึ่งเป็นที่จดจำของแฟนบอลด้วยสไตล์การเล่นและหน้าตาที่ถูกยกย่องให้เป็นเทพบุตรของวงการฟุตบอลคนหนึ่ง

 

 

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา นักฟุตบอลวัย 35 ปีคนนี้ก็ได้ประกาศอำลาสนามอย่างเป็นทางการ ปิดฉากตำนานของวงการฟุตบอล 1 ใน 8 คนบนโลกนี้ที่สามารถคว้าแชมป์โลก คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และคว้ารางวัลบัลลงดอร์มาได้สำเร็จในช่วงชีวิตที่เขาวาดฝีเท้าอยู่บนสนามฟุตบอล

 

การอำลาสนามของเขามีความหมายอย่างไรต่อวงการฟุตบอลบราซิล และทำไมศาสนาถึงมีอิทธิพลต่อการเล่นฟุตบอลของเขา วันนี้ THE STANDARD จะพาคุณย้อนไปติดตามชีวิตในวัยเด็กของชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ที่คว้าแชมป์ได้เกือบทุกรายการที่เขาเคยสัมผัส

 

 

“I Belong to Jesus”

ริคาร์โด้ อิเซคสัน ดอส ซานโตส ไลเต้ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อกาก้า ลืมตาดูโลกเมื่อ 35 ปีก่อนที่กรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 22 เมษายน 1983 กาก้าเกิดมาในครอบครัวที่แตกต่างจากนักฟุตบอลทั่วโลก เนื่องจากครอบครัวของเขามีฐานะที่ค่อนข้างดี ทำให้กาก้าสามารถบริหารจัดการเวลาทั้งการเรียนและสมัครเข้าแข่งขันทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตแบบนักฟุตบอลในทวีปยุโรปมากกว่าการเติบโตแบบนักฟุตบอลในบราซิลที่เริ่มต้นจากฟุตบอลข้างถนน

 

แต่ในช่วงเวลาที่เส้นทางสู่นักฟุตบอลอาชีพของเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวัย 18 ปีกับสโมสรเซาเปาโล กาก้าต้องพบกับอุบัติเหตุที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล บ่ายวันหนึ่งที่สระว่ายน้ำชุมชน กาก้าสไลด์ตัวลงมาตามสไลเดอร์ ก่อนที่หัวจะชนกับก้นสระ และทำให้กระดูกสันหลังของเขาร้าว

 

ในเวลานั้น แพทย์กังวลว่าอาการบาดเจ็บครั้งนี้อาจจะทำให้เขาพิการ แต่สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อไม่กี่สัปดาห์ต่อมากาก้าก็สามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายได้อย่างรวดเร็วและกลับมาทำในสิ่งที่เขาชื่นชอบได้อีกครั้ง นั่นก็คือการลงเล่นฟุตบอล เหตุการณ์ครั้งนั้น กาก้าเชื่อว่าไม่ได้เกิดจากความโชคดี แต่ทุกสิ่งเกิดจากพระเจ้า

 

ซึ่งเป็นเหตุผลที่อธิบายท่าดีใจหลังการทำประตูของกาก้าที่เขามักจะชูมือขึ้นฟ้า หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติบราซิลในศึกฟุตบอลโลก ปี 2002 และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปี 2007 กาก้าจะถอดเสื้อแข่งออกเพื่อให้เห็นเสื้อสีขาวด้านใน พร้อมกับประโยค “I Belong to Jesus” เพื่อเป็นการเชิดชูความเชื่อของเขาตั้งแต่วัยเด็ก

 

ในวันที่เขาประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิตหลังจากคว้ารางวัลต่างๆ ตั้งแต่บัลลงดอร์จนถึงนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า เขาก็ยังคงยึดมั่นในศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าที่ได้มอบความสำเร็จให้กับชีวิตของเขา

 

“จากความร่ำรวยและชื่อเสียงของผม หลายคนถามว่าทำไมผมยังต้องนับถือพระเยซู คำตอบง่ายๆ คือผมต้องการพระองค์ทุกวันในชีวิต คำสอน โดยเฉพาะในไบเบิลที่บอกผมว่า หากไม่มีท่าน ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ผมเชื่อแบบนั้น ความสามารถในการเล่นฟุตบอลและผลงานทั้งหมดเป็นของขวัญจากพระเจ้า พระเจ้าได้มอบพรสวรรค์ให้ผมทำเพื่อท่าน และผมจะพยายามพัฒนาพรสวรรค์นี้ขึ้นทุกวัน”

 

 

จากแชมป์โลกปี 2002 สู่บัลลงดอร์ในปี 2007

หลังจากที่กลับมาลงสนามให้กับสโมสรเซาเปาโลได้ในช่วงต้นปี 2001 เขาก็ถูกเรียกติดทีมชุดใหญ่ของเซาเปาโล และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่บราซิลได้พบกับกาก้าบนเวทีฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการ

 

กาก้าสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งตัวจริงในทีมได้ในเวลาไม่ถึง 2 ปี สร้างความประทับใจให้กับสโมสรต้นสังกัดเป็นอย่างมาก จนเขาถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดประวัติศาสตร์ที่บุกไปคว้าแชมป์โลกในปี 2002 ซึ่งญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน

 

จากการร่วมงานกับนักเตะระดับตำนานในทีมชาติบราซิลอย่างโรนัลโด, โรนัลดินโญ, ริวัลโด, โรแบร์โต คาร์ลอส และทีมชาติบราซิลชุดแชมป์โลก กาก้าได้โอกาสย้ายไปค้าแข้งในทวีปยุโรปกับสโมสรเอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 8.5 ล้านยูโร

 

กาก้าสามารถเบียดขึ้นเป็นตัวจริงได้ไม่ยากนัก และได้ลงสนามร่วมกับนักเตะระดับตำนานของเอซี มิลาน อย่างอันเดรีย ปีร์โล, อังเดรย์ เชฟเชนโค และเปาโล มัลดินี โดยจุดเด่นของกาก้า แม้จะมีความสูงถึง 185 เซนติเมตร แต่เขาเป็นนักเตะที่มีความเร็วและเร่งสปีดผ่านกองหลังได้ดีกว่านักฟุตบอลหลายๆ คนในเวลานั้น นอกจากนี้ยังสามารถเลือกผ่านบอลได้อย่างฉลาด และจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม

 

ในฤดูกาลแรก กาก้ายิงไป 10 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด 30 ครั้ง คว้าแชมป์เซเรียอา อิตาลี และรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของปี

 

 

ปี 2005 เป็นปีที่เขาได้พบกับความผิดหวังในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี ซึ่งมิลานพ่ายจุดโทษให้กับลิเวอร์พูล แม้ว่าจะขึ้นนำก่อนในช่วง 90 นาทีถึง 3-0 หลังเกมนั้น อันเดรีย ปีร์โล ได้บันทึกความรู้สึกของทีมไว้ในอัตชีวประวัติว่า

 

“การนอนไม่หลับ ความแค้น ความเครียด และความรู้สึกไร้ตัวตน เราพัฒนาอาการใหม่ที่เรียกว่าอิสตันบูล ซินโดรม”

 

แต่เหมือนกับกราฟของชีวิตคน หลังจากความพ่ายแพ้ในรอบชิงและปัญหาการล็อกผลการแข่งขันในปี 2006 ที่ทำให้เอซี มิลาน โดนตัดแต้ม แต่ในทางตรงกันข้าม ฟอร์มของกาก้าและทีมกลับโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเข้าสู่รอบชิงในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ในปี 2007 กับลิเวอร์พูล คู่อริที่เคยทำแสบไว้เมื่อปี 2005

 

สุดท้ายมิลานก็สามารถล้างแค้นได้สำเร็จ และเอาชนะลิเวอร์พูลไป 2-1 ตอกย้ำปีแห่งความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของเขากับทีมเอซี มิลาน ในปีเดียวกันนั้น กาก้าคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า มีรายชื่อติดในทีมยอดเยี่ยมของยูฟ่า นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเซเรียอา อิตาลี ก่อนจะคว้ารางวัลบัลลงดอร์ในช่วงเดือนธันวาคมของปี 2007

 

ในช่วงเวลาที่เหลือกับเอซี มิลาน กาก้าโชว์ฟอร์มในเวทีเซเรียอาได้ดีเยี่ยมด้วยการยิงไปทั้งหมด 16 ประตู จ่ายให้เพื่อนยิงอีก 9 ลูกจากการลงสนามทั้งหมด 31 เกมในฤดูกาล 2008-2009 ซึ่งเอซี มิลาน จบอันดับที่ 3 ในฤดูกาลนั้น

 

 

ชีวิตของกาก้ายังคงพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง จนปี 2009 เรอัล มาดริด ตัดสินใจทุ่มเงินจำนวน 68.5 ล้านปอนด์ ให้กาก้ามาร่วมทีมพร้อมกับคริสเตียโน โรนัลโด ที่ทำสถิติย้ายจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปีเดียวกันด้วยค่าตัวสถิติโลกในเวลานั้นที่ 94 ล้านยูโร

 

แต่บรรยากาศในสเปนนั้นแตกต่างกับอิตาลีที่เขาคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง กาก้าไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ โดยฤดูกาลแรกยิงได้เพียง 9 ประตู และจ่ายให้เพื่อนยิงอีก 8 ประตู ก่อนจะได้รับบาดเจ็บเป็นระยะเวลานานครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ปี 2010 โดยหลังจากการผ่าตัดเข่า เขาต้องพักเป็นเวลา 4 เดือน

 

กาก้าไม่สามารถโชว์ฟอร์มกับทีมราชันชุดขาวได้จนกระทั่งในฤดูกาล 2011/2012 เขาสามารถยิงไป 8 ประตู และจ่ายให้เพื่อนยิงอีก 14 ประตู และนั่นก็เป็นฤดูกาลสุดท้ายที่เขากลับมามีลุ้นชิงรางวัลบัลลงดอร์อีกครั้ง ก่อนที่ชีวิตในวัย 30 ปีและอาการบาดเจ็บจะส่งผลอย่างหนักต่อฟอร์มการเล่นของเขา

 

ฤดูกาล 2012-2013 ถือว่าเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับเรอัล มาดริด หลังจากใช้ชีวิตมา 4 ปีในประเทศสเปน เขาตัดสินใจที่จะกลับไปร่วมงานกับสโมสรเก่า เอซี มิลาน เป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมกับออร์แลนโด ซิตี้ ในเมเจอร์ ลีก ซอกเกอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

กาก้าใช้เวลา 3 ปีในสหรัฐฯ รวมถึงมีโอกาสได้กลับไปเล่นให้ทีมเซาเปาโล สโมสรที่เขาเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลแบบยืมตัวเป็นเวลา 1 ปีในปี 2014 แต่สุดท้ายหลังจากการบาดเจ็บต่างๆ ในวัย 35 ปี กาก้าก็ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับทีมออร์แลนโด ซิตี้ และได้ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา

 

 

การส่งต่อความสำเร็จจากรุ่น 2002 ถึง 2018

หลายๆ คนที่ติดตามฟุตบอลมาตั้งแต่ยุค 90s ยังจำได้ดีถึงความดุดัน ร้ายกาจ แต่สวยงามของฟุตบอลทีมชาติบราซิลที่แพรวพราวไปด้วยฝีมือ และเปี่ยมไปด้วยศักยภาพในการสร้างสรรค์ผลงานในฟุตบอลโลก ปี 2002 ที่ประเทศญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ

 

แต่ใครจะเชื่อว่าเวลานั้นได้ผ่านมาแล้วเกือบ 20 ปี และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นนักฟุตบอลคนสุดท้ายในทีมชาติบราซิลชุดแชมป์โลก ปี 2002 ประกาศอำลาสนามอย่างเป็นทางการ

 

 

ความสำเร็จของบราซิลชุดนั้นถือว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลหลายๆ คน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าแรงบันดาลใจของฮีโร่เหล่านั้นยังไม่สามารถผลักดันทีมชาติบราซิลให้กลับมารุ่งเรืองได้เหมือนในอดีต

 

ความล้มเหลวของพวกเขาในปี 2006, 2010 และ 2014 ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า การจากลาของกาก้าในวันนี้เป็นจุดจบของยุครุ่งเรืองของบราซิล หรือเป็นการเริ่มต้นใหม่ของแชมป์โลก 5 สมัยอย่างบราซิล

 

หากเปรียบเทียบกันแล้ว ทีมชาติบราซิลชุดนั้นมีฮีโร่ตั้งแต่โรนัลโด, โรนัลดินโญ และริวัลโด ที่สร้างสรรค์ผลงานได้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีโลก แต่ในขณะเดียวกัน นักฟุตบอลรุ่นต่อมาอย่างโรบินโญและอาเดรียโน ที่แม้จะสามารถสร้างสีสันและความตื่นเต้นได้ในบางครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถเรียกพลังศรัทธาของแฟนบอลได้เหมือนสมัยของสามประสานในปี 2002

 

ความท้าทายทั้งหมดนี้จึงตกอยู่กับเนย์มาร์ นักเตะสัญชาติบราซิลที่มีค่าตัวแพงที่สุดเป็นสถิติโลก ซึ่งหลายคนคาดหวังให้เป็นผู้ที่สร้างความแตกต่างในฟุตบอลโลก ปี 2018 ซึ่งสถิติของศูนย์หน้าารีส แซงต์ แชร์กแมง คนนี้สามารถรั้งอันดับที่ 4 ในฐานะนักเตะที่ทำประตูได้มากที่สุดตลอดกาล โดยยิงไปทั้งหมด 53 ประตูใน 83 เกม และจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในฟุตบอลโลก ปี 2014 ที่บราซิลมาแล้ว และจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนความฝันและเป้าหมายของแซมบ้าในฟุตบอลโลก ปี 2018 ที่ประเทศรัสเซีย

 

ปี 2017 ถือว่ามีตำนานนักฟุตบอลหลายคนประกาศอำลาวงการ แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะสามารถเข้าใจได้จากอายุที่มากขึ้นทุกปี แต่แฟนบอลหลายคนก็อดยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกใจหายทุกครั้งที่เห็นนักเตะที่ตัวเองชื่นชอบตั้งแต่เด็กๆ เป็นผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจในการตัดสินใจดำเนินชีวิตในแต่ละวัน  มาวันนี้ก็ถึงเวลาต้องบอกลากับอีกหนึ่งตำนานของทีมชาติบราซิล  

 

 

แม้ว่ากาก้าจะไม่ใช่นักเตะแบบที่หลายๆ คนชื่นชอบในปัจจุบันที่ต้องแสดงความเป็นซูเปอร์สตาร์ด้วยการปาร์ตี้ในผับหรู หรือการให้สัมภาษณ์ยกย่องตัวเองเหนือผู้อื่น

 

แต่กาก้าเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อและพลังแห่งความศรัทธาที่เขาได้นำเอาพลังเหล่านั้นมาพัฒนาสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายในชีวิต

 

Photo: AFP

อ้างอิง:  

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising