ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่เห็น หญิง-รฐา โพธิ์งาม เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วในรายการ ทไวไลท์โชว์ เธอมาสัมภาษณ์คู่กับคุณแม่ น้อย โพธิ์งาม ราชินีตลกของเมืองไทย ในตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักเธอ ผมยังจำได้ว่าวันนั้นหญิงร้องเพลง Because you loved me ให้แม่ของเธอด้วย หลังจากนั้นไม่กี่ปีเธอก็มีผลงานเพลง งานแสดง นับดูแล้วเธออยู่ในวงการนี้มา 20 ปี
ผมยังจำโมเมนต์ที่ครอบครัวของเธอเป็นข่าวหน้าหนึ่งเรื่องหนี้สินในช่วงเวลาที่เธอกำลังมีชื่อเสียงอยู่ ยังจำโมเมนต์ที่เธอไปเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ในฐานะนักแสดง ไม่ใช่ในฐานะที่แบรนด์สินค้าส่งไป ยังจำโมเมนต์ที่เธออยู่บนเวที วันสละโสดกับโจทก์เก่าๆ เดอะ มิวสิคัล คอเมดี้ แล้วเธอทำให้คนทั้งโรงละครหัวเราะเหมือนกุมอำนาจสั่งอารมณ์ของคนดูได้ ยังจำโมเมนต์ที่เธอปลดหนี้ให้แม่ได้สำเร็จ จนล่าสุดเธอเพิ่งมีซิงเกิลใหม่ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ และนั่นทำให้เราได้มาคุยกัน ผมอยากจะถามเหลือเกินว่าเธอผ่านมันมาได้อย่างไร และเธอได้เรียนรู้อะไรในชีวิตบ้าง
“หญิงชอบคิดว่าชีวิตตัวเองเหมือนเกมมาริโอ้ที่ต้องแก้ไขไปทีละด่าน จนสุดท้ายไปสู้กับมังกรแล้วก็ช่วยเจ้าหญิงได้สำเร็จ ชาตินี้เกิดมาได้ทำหลายอย่างดีจัง ได้ขายส้มตำ ได้ร้องเพลง ได้เต้นรำ ได้แสดงหนัง ได้ไปคานส์ ชีวิตหญิงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์ที่มีขึ้นลงตลอดเวลา จากนี้อาจจะมีอะไรที่ขึ้นลงอีกก็ได้ แต่คิดว่าทุกปัญหาที่เข้ามาต่อจากนี้ หญิงจะมีสติและคิดแก้ไขปัญหาได้”
ถ้าคุณได้รู้ว่าเธอเคยเจออะไรมาบ้าง และผ่านแต่ละเรื่องราว ผ่านแต่ละด่านมาได้อย่างไร คุณจะรู้สึกเหมือนผมว่าชีวิตหญิงยิ่งกว่าเกมมาริโอ้ที่เธอบอกเสียอีก
ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เป็นเพลงช้าเพลงแรกในรอบสิบปีของคุณเลยทีเดียว ช่วยเล่าถึงเพลงนี้ให้ฟังหน่อย
เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหญิงกับ พี่เจี๊ยบ-วรรธนา วีรยวรรธน ซึ่งแต่งเพลงนี้ หญิงได้ทำงานกับพี่เจี๊ยบตั้งแต่อัลบั้มแรกตอนที่ทำกับค่ายบาแรมยู มันเลยมีความพิเศษที่ได้กลับมาทำงานกับพี่เจี๊ยบอีกครั้ง นอกจากนั้นยังเป็นเพลงช้าเพลงแรกในรอบสิบปีของหญิง
ปกติแล้วคนจะนึกถึงหญิงในเพลงเต้นรำ แต่จริงๆ แล้วหญิงชอบเพลงช้านะคะ โดยเฉพาะเพลงนี้มันเล่าถึงผู้หญิงแบบเวิร์กกิ้งวูแมนที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พอกลับมาบ้าน บางทีเรารู้สึกเหนื่อย เศร้า เหงา ซึ่งเป็นมุมที่เราเลือกจะไม่ให้ใครเห็นได้ ทุกคำมันมาจากสิ่งที่หญิงเองก็เคยรู้สึก และเชื่อว่าผู้หญิงหลายๆ คนก็คงรู้สึก
ถ้าเพลงนี้มันพูดแทนความรู้สึกของคุณ ทำไมจึงไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองเศร้าล่ะ
หญิงว่ามันอาจจะมาจากการที่เราเติบโตมาแล้วเห็นแม่ทำงานอยู่ตลอดเวลา และน้อยมากที่แม่จะบ่นว่าเหนื่อย หญิงก็เลยรู้สึกว่าอยากเป็นให้ได้แบบเขา ผู้หญิงบางคนที่ดูสตรองมากๆ จนไม่มีเวลาช่วงไหนให้เสียใจ จริงๆ แล้วเขาก็เจ็บปวดได้เหมือนกัน จริงๆ เพลงนี้มันเล่าถึงความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนควรต้องยอมให้ตัวเองอ่อนแอดูบ้าง มันไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย
ผู้ชายเองก็น่าสงสารนะครับ โลกสร้าง stereotype ความเป็นชายให้ไม่สามารถอ่อนแอได้ ร้องไห้ไม่ได้
ใช่ค่ะ บางทีตัวเขาหรือคนอื่นก็ลืมมองว่าเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน หญิงว่ามันคืออัตตาที่เราไปยึดมั่นถือมั่นว่า เฮ้ย ฉันเป็นผู้ชาย หรือฉันเป็นคนเก่ง ฉันจะทำให้คนอื่นเสียใจไม่ได้ เราจะไปยึดมั่นกับสิ่งนั้นทำไม ไม่เป็นไรนี่ เราเสียใจได้ ร้องไห้ได้ จริงๆ แล้วเราต้องยอมรับความจริงเท่านั้นเอง ต้อง move on การยอมให้ตัวเองอ่อนแออาจทำให้คุณไปเร็วขึ้นก็ได้ เพราะคุณไม่ต้องแบกอะไรแล้ว
ตอนเด็กๆ คุณเป็นคนแบบไหน
เอาแต่ใจค่ะ หญิงรู้ตัวเลย คุณแม่หญิงเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว สมัยก่อนคุณแม่ทำงานเยอะมาก ทั้งภาพยนตร์ ละคร เล่นตลกตอนกลางคืนอีก เวลาที่มีให้เราน้อยมาก เราจะอยู่กับพี่เลี้ยงเยอะ โอ๊ย แต่ก่อนเกลียดวงการ เพราะรู้สึกว่ามันแย่งเวลาจากแม่ไป และหญิงเป็นคนเอาแต่ใจเพราะต้องการความสนใจจากแม่ แต่พอเราโตขึ้น มีโอกาสเข้ามาอยู่ตรงนี้จริงๆ มันเริ่มรู้สึก แล้วก็เริ่มรับ เริ่มเข้าใจ เริ่มเติบโต งานมันสอนให้หญิงโต เราเข้ามาทำงานกับกลุ่มคนที่เขาไม่ได้ต้องมาสปอยล์เราคนเดียว เขาก็พูดกับเราตรงๆ ว่าทำแบบนี้ไม่ได้ โชคดีที่ทุกช่วงเวลามีคนคอยสอนหญิงตลอด มันก็เลยทำให้เราค่อยๆ เติบโต
ฟังแล้วการเข้าสู่วงการของคุณก็เหมือนการเข้าอีกหนึ่งโรงเรียนชีวิตเลยนะ
ใช่ค่ะ เหมือนเข้าโรงเรียนดัดสันดาน ช่วงอัลบั้มแรกๆ ก็ยังงอแงอยู่ จนมีโมเมนต์หนึ่งตอนอายุ 16 ที่หญิงเจอนักข่าวคนหนึ่ง เขาไม่ยอมสัมภาษณ์หญิง แล้วเขาก็สอนเราว่า คุณมาอยู่ตรงนี้แล้วจะทำเป็นเด็กๆ ไม่ได้ มันคือความรับผิดชอบ จะทำตัวเหมือนวันนี้อยากคุย อีกวันไม่อยากคุยไม่ได้ มันเป็นหน้าที่ เราเลือกที่จะมาอยู่ตรงนี้เอง มันทำให้เราเข้าใจและค่อยๆ เติบโตขึ้น
“ผู้หญิงบางคนที่ดูสตรองมากๆ จนไม่มีเวลาช่วงไหนให้เสียใจ จริงๆ แล้วเขาก็เจ็บปวดได้เหมือนกัน”
ตอนที่คุณยังไม่เข้าวงการบันเทิง การเป็นลูกดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงมีผลกับชีวิตคุณอย่างไรบ้าง
ยุคนั้นลูกดาราก็จะถูกมองว่าใช้เส้นหรือเปล่า ของหญิงมันมีความกดดันอีกแบบคือเรื่องการเป็นลูกตลกแล้วมาร้องเพลง เป็นลูกตลกแล้วทำไมไม่ไปเล่นตลก ความรู้สึกตอนนั้นคือเรายังไม่มีประสบการณ์ การเล่นตลกมันใช้พลังงานและประสบการณ์ชีวิตสูงมาก เพราะการจะล้อใครหรือกล้าหยิบเรื่องนั้นมาเล่นเป็นมุกได้จะต้องมีความเชื่อจากคนในกลุ่มว่าคนนี้เขาน่ารักนะ พอรู้สึกว่าเขาน่ารัก เราก็จะตลกไปกับเขาได้ แต่ตอนนั้นหญิงยังไม่มีมุมนั้น ตอนนี้หญิงมีประสบการณ์มากขึ้น หญิงแสดงคอเมดี้ได้แล้ว หญิงก็มีมุมตลกของตัวเองที่คิดว่าน่าจะได้แม่มาเยอะ (หัวเราะ)
อะไรทำให้ตัดสินใจเข้าสู่วงการที่คุณเคยเกลียด เพราะมันแย่งเวลาของแม่ไป คุณเริ่มรักมันตอนไหน
หญิงเข้าวงการเพราะชอบร้องเพลง มันเริ่มต้นจากการอยากร้องเพลงก่อน แต่ถ้ารักจริงๆ หญิงมาเริ่มรักตอนทำวง 2002 ราตรี เพราะเราได้เพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ เพื่อนที่อยู่กับเราในวันที่เรามีปัญหา
แล้วพอโตขึ้นเราก็เริ่มอยากพัฒนาฝีมือ มันก็มีมิวสิคัล ฟ้าจรดทราย เข้ามาทำให้โลกของเรากว้างขึ้นค่ะ พอเห็นโลกกว้างขึ้น เราก็รู้สึกอยากอยู่ตรงนี้ อยากร้องเพลงเก่งขึ้น อยากแสดงเก่งขึ้น และมันเป็นความรู้สึกที่มีมาจนทุกวันนี้ เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าฉันทำได้ดี เดี๋ยวฉันจะทำให้ดู มันก็เลยกลายเป็นข้อหนึ่งที่ทำให้หญิงพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ไปเรียนเต้นเพิ่ม เรียนการแสดงเพิ่ม แล้วหญิงก็จะชอบแอบไปแคสต์งาน ซึ่งอาจจะคิดไม่เหมือนดาราไทยคนอื่นๆ ที่รู้สึกว่าฉันเป็นดาราแล้ว มีชื่อเสียงแล้ว ไม่เห็นต้องแคสต์เลย หญิงกลับรู้สึกว่าการไปแคสต์มันคือการได้เข้าห้องเรียนฟรีๆ เหมือนเราได้ไปเรียนรู้ว่าคนทำงานเก่งๆ เขาทำงานกันอย่างไร
การไปต่อแถวแคสต์ในฐานะ nobody ที่ไม่ได้พกเอาป้ายบอกสถานะ somebody ติดไปด้วย มันให้ประสบการณ์ต่างกันอย่างไร
มันก็สนุกดีนะ หญิงคิดมาตลอดว่าการที่เราอยู่ในเมืองไทยแล้วมีคนรู้จักมันก็เป็นผลดีกับเรา งานก็จะวิ่งเข้ามาหา แต่เราก็จะอยู่อย่างนี้แหละ เราจะไม่ได้ลองอะไรใหม่ๆ ความจริงตอนนั้นหญิงก็ไม่ค่อยมีงานด้วย เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่แผ่นผีมันเข้ามา แล้วหญิงก็เฟดตัวเองไปจากการร้องเพลง หญิงรู้สึกว่าไหนๆ ก็ว่างแล้ว ลองไปทำดูก็ดีเหมือนกัน มันเหมือนชีวิตบังคับให้เราทำด้วย ตอนนั้นหญิงแคสต์เป็นเอ็กซ์ตร้าเลยนะคะ ไม่ได้แคสต์เป็นตัวหลักเลยด้วย แคสต์เอ็กซ์ตร้าแบบยืนอยู่ในซีนหนังฝรั่งนี่แหละ มันตื่นเต้นดีนะคะ เพราะก่อนหน้านั้นหญิงเคยแคสต์ครั้งเดียวคือตอนทำสกรีนเทสต์ก่อนที่จะเข้าแกรมมี่ แล้วก็ไม่เคยทำอีกเลย
คุณเข้าวงการจากการร้องเพลง แล้วพอมาถึงจุดหนึ่งที่วงการเพลงซบเซาจนต้องค่อยๆ พาตัวเองออกมาทั้งๆ ที่มันคือฝันแรกและฝันเดียวของเรา ตอนนั้นทุกคนในวงการเพลงได้รับผลกระทบกันหมด คุณรับมือกับการที่ฝันไม่เป็นดังใจอย่างไร
ทำใจ ตอนนั้นหญิงจำได้เลยว่างานเริ่มน้อยลง มันไม่ได้มีโปรเจกต์ใหม่ๆ เข้ามา เราก็เริ่มรู้ตัวแล้วค่ะ แต่มันก็เศร้านะคะ เราก็ถามตัวเองว่าเราเต้นได้ เราร้องได้ แล้วเราก็ยังเด็ก ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วก็เข้าใจ ปลง ทำใจ อย่างน้อยเราก็ยังพอมีอีเวนต์ มีคอนเสิร์ตตามต่างจังหวัดอยู่บ้าง พอหมดสัญญาเขาก็ไม่ได้เซ็นต่อ จุดนั้นเป็นจุดที่เหมือนว่าเราไม่ได้เป็นที่ต้องการอีกต่อไป เราอยู่ค่ายใหญ่ เราไม่เคยต้องไปหางานเอง เพราะมีคนป้อนงานให้เราตลอด เหมือนเด็กที่ถูกสปอยล์ พอวันหนึ่งไม่มีเราก็ช็อก
การไม่เป็นที่ต้องการมันทำให้มุมมองในชีวิตเราเปลี่ยนไปด้วยไหม
มันทำให้หญิงได้ลองไปทำอย่างอื่น หญิงไม่มีงานอยู่นานมากจน พี่หน่อง-อรุโณชา ภาณุพันธ์ุ มาชวนหญิงกลับไปเล่นละครเป็นตัวร้าย พออยู่มาสักพักเราเริ่มรู้สึกว่ามนุษย์เราทำอะไรได้หลายอย่างกว่าที่คิดนะ แต่ก่อนรู้สึกแค่ว่าเราร้องเพลงได้ดี เราเต้นได้ดี แต่พอวันหนึ่งเรากระโดดมาทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ลองเป็นคนอื่นดู ลองทำอะไรเกินขอบเขตที่คิดไว้ เราก็ทำได้นี่นา
จากที่เคยคิดว่าฉันคือฉัน ฉันคือนักร้อง ฉันคือญาญ่าญิ๋ง ฉันคือภารตะอินเดีย แต่วันหนึ่งเราทำความเข้าใจกับมันแล้วรู้ว่าเราสามารถเป็นคนอื่นได้ หญิงเลยรู้สึกสนุกกับการแสดงตั้งแต่ตอนนั้น ตัวละครบางตัวในบทไม่ได้เขียนมาให้ แต่เราต้องคิดเองว่าตัวละครนี้มีรายละเอียดในชีวิตอย่างไร มันเหมือนการได้เรียนรู้คนอีกคนหนึ่ง ถ้าเขาเป็นแบบนี้ คิดแบบนี้ ชีวิตก็จะเป็นแบบนี้ไง มันทำให้เราเรียนรู้การใช้ชีวิตผ่านตัวละคร ตัวละครที่หญิงเล่นมาทุกตัวเป็นเหมือนครูสอนให้เราเป็นเรา ณ วันนี้
การแสดงก็เหมือนการได้สลายอีโก้ของตัวเองทุกครั้งที่ได้เล่นเป็นคนอื่น
ใช่ค่ะ ตัวละครมันมีเหตุและผลของมันว่าทำไมเขาถึงกล้าทำอะไรอย่างนี้ ดังนั้นตัวละครทุกตัว การกระทำของตัวละครทุกอย่างที่มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงในชีวิตเรา แต่เราได้เรียนรู้มัน สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราเข้าใจชีวิตของคนอื่นๆ มากขึ้น แล้วก็ทำให้เราเข้าใจชีวิตและความเป็นคนของเรามากขึ้น
ยกตัวอย่างตัวละครที่คุณเคยสวมบทบาทหน่อยว่าได้มอบบทเรียนอะไรไว้ให้กับคุณบ้าง
หญิงชอบ คุณบุญเลื่อง ในเรื่อง จัน ดารา อยากให้เขากระโดดมาอยู่ในยุคนี้ เขาจะเป็นผู้หญิงที่เท่มาก เป็นผู้หญิงที่เข้าใจโลก ไม่ว่าเขาจะผิดพลาดมาอย่างไร คุณบุญเลื่องเคยแต่งงานมาก่อน จนหย่าร้าง มาเจอกับแฟนเก่า แล้วก็มามีเรื่องราวในบ้านหลังนี้ สุดท้ายชีวิตเขาพร้อมที่จะยกกระเป๋าออกจากบ้านด้วยรอยยิ้มว่า โอเค ฉันจบจากที่นี่แล้ว ฉันเข้าใจแล้ว ฉันพร้อมที่จะเดินหันหลังให้มันนะ เพราะข้างหน้ามันคืออนาคตที่ดีกว่า ฉันอาจจะไปเจอชีวิตที่ดีกว่านี้ก็ได้
หญิงรู้สึกว่านี่คือมนุษย์จริงๆ คุณบุญเลื่องทำให้รู้สึกว่าทุกครั้งที่หญิงเจอเรื่องใดๆ ไม่ว่าร้ายหรือดี หรือมันกำลังจะจบไปในช่วงเวลาหนึ่ง เราจะรู้สึกว่าเราพร้อมที่จะหันหลังแล้วก็ move on ต่อทุกครั้ง เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญจริงๆ คือปัจจุบันและอนาคต อดีตคือสิ่งที่สอนให้รู้ว่าเราเคยผ่านอะไรมา รู้ว่าเราเคยเหนื่อยอย่างไร และในเมื่อรู้ว่าเจ็บอย่างไร เหนื่อยอย่างไร ท้ออย่างไร ปัจจุบันเราก็ต้องมีสติกับมันเพื่อที่จะไปต่อ
น่าภูมิใจนะครับที่คุณได้ไปงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ในฐานะนักแสดงที่มีผลงาน
ปี 2013 น่าจะเป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิตของหญิงนะ จะเรียกว่าเป็นนักแสดงเต็มตัวก็ใช่ มันได้เติมเต็มบางอย่างในชีวิตหญิงที่ไม่เคยมีภาพตัวเองเป็นนักแสดงมาก่อน มันยิ่งใหญ่มากสำหรับหญิง แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในความรู้สึกของเราคือเรามีคนที่รักไปด้วย หญิงมีโอกาสให้แม่ได้เดินพรมแดงด้วย
หญิงว่ามันเป็นปีที่ดีที่สุดของหญิงทั้งในเรื่องงานและเรื่องจิตใจด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าหญิงจะยึดติดกับมัน มันผ่านมาแล้วและจบไปแล้ว หลังจากวันนั้นเราก็แค่ใช้ชีวิตตามเดิม ทำงานของเรา มีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องทำ เพียงแต่ทุกครั้งที่คิดถึงช่วงเวลานั้น มันเป็นความสุขของเราเสมอ
ชีวิตเปลี่ยนไปเลยนะ จากปี 2006 ที่หมดสัญญาและยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี ไล่แคสต์เป็นเอ็กซ์ตร้าอยู่หลายเรื่อง จนมาถึงปี 2013 ที่คุณบอกว่าเป็นปีที่ดีที่สุด มันคงเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายกับคุณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่คุณได้จูงมือแม่อยู่ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์
ใช่ค่ะ เป็น 8 ปีที่ล้มลุกคลุกคลานมาก แล้วเรื่องแม่เนี่ย… อย่านะ เดี๋ยวร้องไห้ สัมภาษณ์ต่อไม่ได้ (หัวเราะ) ตอนเป็นหนี้ เราขายบ้านไปอยู่บ้านเช่า ไปอยู่ตึกแถว ย้ายไปเรื่อยๆ ไม่มีบ้านของตัวเอง แม่จะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเมื่อไรเราจะมีบ้านเป็นของเราเอง จนวันนี้ที่เรามีบ้านแล้ว เราได้เห็นแม่มีความสุข จากวันนั้นถึงวันนี้ หญิงก็ได้พิสูจน์อะไรบางอย่างที่ทำให้เห็นว่าหญิงทำได้ แม่จะพูดอยู่ตลอดว่าเขาภูมิใจในตัวหญิง
ผมขออนุญาตถามถึงช่วงชีวิตของคุณที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นอีกมาก นั่นคือตอนที่คุณปลดหนี้ของครอบครัว ในตอนนั้นคุณรู้เรื่องสถานการณ์หนี้ในบ้านตั้งแต่เมื่อไร
เอาจริงๆ ไหม เหมือนจะเป็นตอนที่หญิงทำเพลงแล้วเริ่มไม่มีงานนั่นแหละค่ะ ยุคนั้นทุกคนพูดกันหมดว่าแม่คือ Queen of Comedy หญิงเริ่มรู้เรื่องตอนที่เห็นแม่เริ่มขายรถตู้ ลูกน้องเริ่มหายไป ตอนนั้นหญิงอายุประมาณ 20 ปี เข้าวงการแล้ว ก็เริ่มเอะใจ แต่แม่ก็แค่บอกว่าไม่อยากทำตลกแล้ว แม่อยากทำรายการทีวี พอมาทำรายการทีวีก็เริ่มหนัก เพราะแม่ต้องสร้างออฟฟิศขึ้นมาใหม่หมด เงินทุนก็ต้องไปกู้มา แล้วสุดท้ายพอทำธุรกิจที่เราไม่ได้เรียนรู้มันจริงๆ ก็เกิดปัญหาขึ้น แม่ก็เริ่มไปตั้งแชร์เพื่อหาเงินมากลบหนี้
หญิงมารู้เรื่องหนี้จริงๆ ก็วันที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งพร้อมกับคนทั้งประเทศ จังหวะแรกคือช็อก อาย เราก็เก็บตัว หญิงจำได้เลยว่าตอนนั้นอยู่บ้านหลังเก่า วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ลงข่าวหน้าหนึ่งก็มีนักข่าวมาถ่ายรูปหน้าบ้านกัน 3-4 คน หญิงอยู่ในบ้านก็ต้องปิดผ้าม่านและก็ร้องไห้ในห้อง แม่จะเข้ามาก็ไม่ให้เข้า หญิงอายว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา ตอนนั้นเรากำลังมีชื่อเสียง เรากำลังไปได้ดี เราก็กลัวว่าคนจะมองอย่างไร เขาจะดูถูกเราไหม
ตอนนั้นหญิงไม่ไปเรียนเลยประมาณ 3 วัน ใจคิดว่าจะดรอปเรียนเลย จนมีอาจารย์ท่านหนึ่งโทรมา อาจารย์บอกว่า ถ้าเราหนีวันนี้ พรุ่งนี้เราก็ต้องหนีอีก จะต้องหนีไปถึงเมื่อไร ยอมรับความจริงสิว่ามันเกิดขึ้นแล้วและแก้ไขมัน หลังจากรับโทรศัพท์และตั้งสติแล้ว หญิงเปิดประตูมาเห็นแม่นั่งร้องไห้อยู่ในห้องพระ โมเมนต์นั้นรู้สึกว่าถ้าเราไม่แข็งแรงขึ้นมา แม่ก็ไม่เหลือใครแล้ว
เพราะวันนี้คือวันที่แม่อ่อนแอที่สุด เขาคือคนที่ประสบเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเองจริงๆ เขาหนักกว่าเราเป็นเท่าตัว วันรุ่งขึ้นหญิงก็ไปมหาวิทยาลัย ตอนแรกก็คิดว่าเพื่อนจะยังอยู่ไหม แปลกมากที่เพื่อนเดินเข้ามาจับมือให้ไปเรียน ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ ทุกคนอยู่กับเราหมด เช่นเดียวกัน ตอนนั้นแกรมมี่ก็ให้ออกอัลบั้มเพลงลูกทุ่ง พยายามหางานให้ หญิงเลยรู้สึกว่าในช่วงเวลาที่เราแย่ที่สุด เรามีบุญนะที่มีคนมาสะกิดบอกให้เรามีสติ มีคนรอบข้างที่พร้อมจะซัพพอร์ตเรา ก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย สู้ต่อ แล้วมันก็ค่อยๆ คลี่คลายจนถึงวันที่เราได้กลับมาในวงการ มีโอกาสดีๆ ในการทำงาน มีเงินก้อนใหญ่มากขึ้นเพื่อมาลบล้างหนี้สินทั้งหมด ก็เป็น 10 ปีนะคะกว่าจะปลดหนี้ได้หมด
ได้บทเรียนอะไรบ้างจากการเป็นหนี้และลุกขึ้นมาสู้จนปลดหนี้สำเร็จ
หญิงมีโอกาสได้เข้าไปเจอเจ้าหนี้ของแม่ทุกคนตอนที่หญิงเอาเงินไปคืน ขอเขาตรงๆ ว่าหญิงหามาได้เท่านี้ ขอจบที่เงินต้นได้ไหม ทุกคนก็พร้อมจะช่วยเหลือหญิง มีคนหนึ่งพูดกับหญิงว่า พี่ไม่ต้องการเงิน พี่ต้องการวันที่หญิงมีเงินแล้วเอากลับมาให้พี่ดู พี่อยากเห็นวันที่เราลืมตาอ้าปากได้แล้วเอาเงินมาคืนเขา หญิงเลยรู้สึกว่าท่ามกลางเรื่องเลวร้ายมันยังมีเรื่องที่ดีเสมอ
มีอะไรจะฝากถึงคนที่กำลังเจออุปสรรคใหญ่ๆ อยู่บ้าง
ถ้าวันนี้เรารู้สึกว่าปัญหามันใหญ่ ให้หลับตาแล้วก็ลองคิดไปถึงสมัยมัธยมที่มีเพื่อนมาด่า วันนั้นมันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถามว่าวันนี้มันใหญ่ไหม มันก็คือเรื่องหนึ่งที่เราผ่านมาได้ค่ะ ดังนั้นสิ่งที่คุณคิดว่าวันนี้มันใหญ่มากสำหรับคุณ วันหนึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องที่คุณลืมไปแล้วก็ได้ อย่าคิดว่าชีวิตเกิดมาเพื่อวันนี้ อนาคตมันมี ถ้าคุณยังร้อน คุณไม่มีทางคิดหรือแก้ปัญหาใดๆ ได้เลย
หญิงยังเชื่อเสมอว่าทุกปัญหาแก้ไขได้ด้วยสติ ความรักก็เหมือนกัน วันนี้เขาไม่รักก็ปล่อยเขาไป วันข้างหน้าเราอาจจะไปเจอใครที่ดีกว่า หรือถ้าไม่ดีกว่าแล้วยังไงล่ะ มันคือชีวิตไง ถ้าทำงานแล้วโดนบอสด่าทุกวัน ไม่อยากไปทำงาน แต่มันก็มีคนที่ไม่มีงานทำนะ เราแค่ยอมรับความจริง เรื่องใดๆ ก็ตาม ถ้ามันไม่ใช่สำหรับเราในวันนี้ ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ใช่ตลอดไป ปัญหามันมีมาเพื่อให้เราแก้ไขและเรียนรู้
ช่วยสรุป 3 บทเรียนในชีวิตจากการเกิดเป็นหญิง รฐา เพื่อให้คนอื่นเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้ไหม
ข้อแรก อย่าคิดว่าเราถูกสร้างมาเพื่อเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว คนเราทำอะไรได้มากกว่านั้น หญิงเคยคิดว่าตัวเองเป็นนักร้องอย่างเดียว ปรากฏว่าพอมาเป็นนักแสดง หญิงได้เจอคนเก่งเต็มไปหมด ได้เรียนรู้ ได้ลงมือทดลองว่าเราก็ทำได้ และอย่าคิดว่าเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โลกเรามีแค่นี้ แต่จักรวาลยังมีอีกเยอะเลย เหมือนนางพญามดที่คิดว่าตัวเองใหญ่มากแล้วในรังมด แต่ไม่รู้ว่ามีเท้าคนที่ใหญ่กว่ายืนอยู่ข้างนอก ในชีวิตเรามีคนเก่งอีกเยอะ ขอแค่เราเปิดใจไปเรียนรู้กับเขา
ข้อที่สอง อย่ากลัวที่จะทดลอง อย่ากลัวที่จะเรียนรู้ อย่ากลัวว่าจะผิดพลาด ก่อนที่เราจะมีความสุข เราต้องเคยเศร้าที่สุด เราถึงจะรู้ว่าสุขคืออะไร ก่อนที่เราจะยิ้มได้ เราต้องเคยร้องไห้ หญิงพูดกับตัวเองตลอดว่าคนที่เก่งคือคนที่ได้ไปสัมผัสเรื่องราวที่หนักหนาเหลือเกินในชีวิต แล้วเขาได้เห็นคุณค่าว่าความสุขคืออะไร ชีวิตเราอยู่ในโลกใบนี้ไม่กี่หมื่นวันหรอก ใช้หมื่นกว่าวันที่มีให้มีคุณค่าที่สุด เรียนรู้ให้มากที่สุด
ข้อสุดท้ายคือการยอมรับความจริง ข้อนี้ทำให้หญิงเป็นหญิงทุกวันนี้ หญิงยอมรับว่าเราเคยเป็นเด็กสปอยล์ เราไม่เก่ง เราไม่สวย เราไม่ได้รับการต่อสัญญา เรามีหนี้ หญิงยอมรับทุกอย่างและกลับมาคิดต่อว่าเราจะดีขึ้นได้อย่างไร ก็ไปพัฒนาตัวเองต่อสิ ที่สำคัญคือยอมรับว่ามันยังไม่ถึงเวลาของเรา ข้อนี้สำคัญมาก หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ทำไมมันยังไม่ได้สิ่งที่เราต้องการ แต่บางอย่างมันเป็นเรื่องของเวลา มันอาจจะยังไม่ถึงเวลาของเรา หายใจลึกๆ ค่อยๆ ใช้ชีวิตไป และยอมรับสิ่งเกิดขึ้นในทุกช่วงเวลาของชีวิต
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์