ถึงจะก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับท็อปของอังกฤษ จนแทบจะเข้าข่ายผูกขาดความสำเร็จในช่วงระยะเวลาเกือบ 14 ปีที่กลุ่มทุนจากอาบูดาบีเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรต่อจาก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย แต่สถานะของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเวทียุโรป พวกเขาไม่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นสโมสรในระดับ Elite เฉกเช่นเดียวกับทีมอื่น
ส่วนหนึ่งเพราะความสำเร็จของพวกเขาเกิดขึ้นจากเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเสียยิ่งกว่าสโมสรกลุ่มมหาอำนาจเดิมใดๆ จะสู้ไหว แต่อีกส่วนเป็นเพราะเมื่อถึงคราต้องไล่ล่าความสำเร็จในรายการระดับสูงสุดอย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พวกเขาก็มักจะตกม้าตายเป็นประจำ
แชมเปียนส์ลีกเป็นเหมือนผีร้ายที่คอยหลอกหลอนเหล่า ‘ซิติเซนส์’ จนขวัญกระเจิงเป็นประจำ และพวกเขาก็มาได้ไกลที่สุดเพียงแค่รอบรองชนะเลิศครั้งเดียวเท่านั้น
เรื่องนี้เป็น ‘ปมด้อย’ ที่ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ต้องการจะลบให้ได้ และดูเหมือนพวกเขามีโอกาสจะทำได้สำเร็จ หลังจากที่สามารถบุกไปคว้าชัยชนะเหนือปารีส แซงต์ แชร์กแมง ถึงปาร์ก เดส์ แพรงซ์ ได้สำเร็จ
สำหรับการเผชิญหน้ากันของสองทีมที่ร่ำรวยที่สุดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘El Cashico’ ถูกจับตามองเนื่องจากสองทีมนี้ต่างเป็นมหาอำนาจใหม่ที่ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าจากอำนาจทางการเงินเหมือนใส่สูตร Action Replay เหมือนกัน
แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือเปแอสเชดูจะได้รับการยอมรับมากกว่าแมนฯ ซิตี้ ในเกมระดับนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ผ่านเข้าชิงชนะเลิศเมื่อฤดูกาลที่แล้ว (แม้ว่ามันจะเป็นฤดูกาลที่อีรุงตังนังจากโควิด-19 จนต้องเตะกันแบบมินิทัวร์นาเมนต์ก็ตาม) และในวันที่แมนฯ ซิตี้ เข้าร่วมกับอีก 11 สโมสรเพื่อก่อกบฏก่อตั้ง ‘ยูโรเปียนซูเปอร์ลีก’ ทีมที่มีแบ็กอัพจากกาตาร์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม
เปแอสเชได้ซีนพระเอกไปเต็มๆ ขณะที่แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นผู้ร้าย แม้ว่าพวกเขาจะไม่โดนเล่นงานหนักจากแฟนบอลเหมือนทีมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, เชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตาม
และใน 45 นาทีแรกของเกมที่ปาร์ก เดส์ แพรงซ์ เปแอสเชก็เล่นได้สมกับเป็นพระเอกจริงๆ
ทีมจากนครหลวงแห่งความรักแสดงให้เห็นถึงความสุขุม นิ่ง สามารถสะกดเกมรุกของแมนฯ ซิตี้ ที่พยายามเล่นตามเกมที่ถนัด แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ถนัด
ในเวลาเดียวกันก็เกรี้ยวกราดและฟาดฟัน โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเกมของ เนย์มาร์ เจ้าชายแสงอาทิตย์ที่พยายามวาดลวดลายอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างปัญหาให้กับเกมรับของแมนฯ ซิตี้
ถึงจะไม่ได้มีส่วนกับการได้ประตูขึ้นนำที่มาจากลูกเตะมุมของ อังเคล ดิ มาเรีย เปิดมาให้ มาร์ควินญอส โฉบโหม่งเข้าไปตั้งแต่นาทีที่ 15 ของเกม แต่นักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกก็มีส่วนในเกมรุกของทีมเกือบทั้งหมด ในขณะที่ คีเลียน เอ็มบัปเป้ แทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
อย่างไรก็ดี จะสังเกตได้ว่า เนย์มาร์ พยายามที่จะเป็น ‘จุดเด่น’ ของเกม และเพื่อนร่วมทีมเองก็พยายามที่จะสนับสนุนให้เป็นเช่นนั้น
สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับแมนฯ ซิตี้ ที่แม้จะมีนักเตะที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘คีย์แมน’ อย่าง เควิน เดอ บรอยน์ แต่พวกเขามีความเป็นทีมกว่ามาก
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป เนย์มาร์ ที่เป็นดังนักมายากล ซึ่งงัดทุกกลมาใช้จนครบไม่เหลือกระต่ายในหมวกหรือนกพิราบในผ้าเช็ดหน้าซ่อนอีก แมนฯ ซิตี้ ก็ค่อยๆ แสดงให้เห็นตัวตนที่ชัดเจนของพวกเขา
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในฤดูกาลนี้ไม่ใช่สไตล์การเล่นที่สวยงาม เพลินตา เพราะพวกเขาเคยเล่นได้สวยกว่านี้มาก และก็ไม่ใช่เกมรุกที่เหมือนปืนใหญ่ไฟพะเนียง เพราะพวกเขาก็เคยยิงสนั่นกว่านี้มากเช่นกัน
แต่เป็นความเยือกเย็น ความอดทน และความสามารถในการ ‘ล้มแล้วลุก’ ขึ้นมายืนหยัดใหม่ได้อีกครั้ง
Resilience กลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญชิ้นสุดท้ายที่เป๊ปและลูกทีมค้นพบผ่านการเรียนรู้ ลองผิดลองถูกตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ล้มแล้วลุก ผิดก็เริ่มใหม่ ไม่มีคำว่าสายเกินไป และนั่นทำให้ทุกครั้งที่แมนฯ ซิตี้ พลาดในสนาม สิ่งที่นักเตะทุกคนจะได้ยินจากเป๊ปที่ตะโกนมา ไม่ใช่คำก่นด่า แต่เป็นคำสั่งง่ายๆ ว่า “Keep the ball” หรือให้พยายามเก็บบอลไว้
หาก 45 นาทีแรกเป็นของเปแอสเช 45 นาทีหลังก็เป็นของแมนฯ ซิตี้ ไม่ต่างอะไรจากการดูหนังคนละเรื่อง
ครึ่งหลังนั้นทีมของเป๊ปเล่นได้ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ ในที่สุดเกมรับของพวกเขา ซึ่งนำโดย รูเบน ดิอาส ผู้บัญชาการที่สมควรได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี ก็สามารถตัด เนย์มาร์ และ อังเคล ดิ มาเรีย ตัวละครลับอีกคนออกจากเกมได้ ส่วนเอ็มบัปเป้นั้นเหมือนไม่มีตัวตนในเกมนี้อยู่แล้ว
และเมื่อหยุดความอันตรายของเปแอสเชได้ พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก
แมนฯ ซิตี้ค่อยๆ รุกคืบไปเรื่อยๆ อย่างอดทน กดดันและกินแดนขึ้นไปเรื่อยๆ อิลคาย กุนโดกัน ที่กลางสนาม ไคล์ วอล์กเกอร์ และ ชูเอา กานเซโล (โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก) ที่ริมเส้นสองฟากสนาม รวมถึงเจ้าหนู ฟิล โฟเดน ที่เริ่มต้นอย่างเงียบเชียบ แต่ค่อยๆ คายพิษสงออกมาว่าทำไมเขาจึงเป็นตัวจริงไม่ใช่ ราฮีม สเตอร์ลิง ซึ่งพยายามได้น่าประทับใจในนัดชิงคาราบาวคัพเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทีมของเป๊ปพยายามไม่ย่อท้อจนกระทั่งได้ประตูตีเสมอจาก เควิน เดอ บรอยน์ ซึ่งแม้จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ เคย์เลอร์ นาวาส (ที่น่าสนใจว่าผู้บริหารจะรู้สึกอย่างไรหลังเพิ่งต่อสัญญาใหม่ไป) แต่น้ำหนักและทิศทางบอลของ ‘KDB’ นั้นเราไม่อาจบอกได้ว่าเขาไม่มีความตั้งใจอยู่ในนั้น
จากนั้นคือลูกฟรีคิกของ ริยาด มาห์เรซ ที่แหวกผ่านช่องว่างที่มีเพียงเล็กน้อยในกำแพงเข้าไป
ก่อนที่เปแอสเชจะสร้างปัญหาให้ตัวเองเพิ่มด้วยใบแดงของ อิดริสซา กานา เกย์ ที่เข้าเสียบสกัดกุนโดกันอย่างน่าเกลียด
ที่สุดแล้ว แมนฯ ซิตี้ จึงเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะที่แสนสำคัญครั้งนี้ได้ ซึ่งความสำคัญนั้นไม่ได้อยู่เพียงแค่โอกาสในการจะผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นสมัยแรก (และดูเหมือนจะมีโอกาสเป็นนัดชิงแบบ All-England เพราะเชลซีดูมีภาษีเหนือกว่าเรอัล มาดริด เล็กน้อย)
แต่เป็นเพราะพวกเขาก้าวผ่านสิ่งกีดขวางบางอย่างในจิตใจได้สำเร็จ และทำได้อย่างสง่างาม
ตั๋วไปอิสตันบูลอยู่ในมือพวกเขาครึ่งใบแล้ว สิ่งที่เหลือคือพยายามเล่นให้ได้แบบเดิมอีกครั้งในอีก 6 วันข้างหน้า
ฝีเท้ามีแล้ว หัวใจก็มาแล้ว