วันนี้ (1 พฤษภาคม) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งมีสถานการณ์การระบาดในวงกว้างและรวดเร็ว ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จนเกิดปัญหาไม่สามารถเข้ารับการรักษาในพยาบาลได้อย่างทั่วถึง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ดำเนินการจัดตั้งช่องทางสายด่วน 1668 เฉพาะกิจ ซึ่งเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2564 เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสายด่วน 1668 เป็นคู่สายที่พัฒนามาจากสายด่วนสำหรับรักษาโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ดังนั้น จึงก่อให้เกิดปัญหาคู่สายไม่เพียงพอ และไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์การระบาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้
ดังนั้น ทีมคณะทำงานจึงได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลการติดต่อผ่านช่องทางสายด่วน 1668 พบว่า ในจำนวนผู้ติดต่อเฉลี่ยประมาณ 1,100 สายต่อวัน เป็นผู้ติดโควิด-19 ยืนยันที่ต้องการติดต่อประสานเตียงในกรุงเทพมหานครเพียง 200 สายต่อวันเท่านั้น จึงได้มีระบบการทำงานรูปแบบใหม่บูรณาการร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส), ภาคเอกชน บริษัท เทล ทู เทล จำกัด, บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และจิตอาสา โดยดำเนินงานบริหารจัดการแบบ One Stop Service จำแนกทีมดำเนินการเป็น 3 ส่วนคือ
1. ทีม Frontline Call Center
2. ทีมรับสายและประเมินอาการ
3. ทีมบริหารจัดการเตียงและข้อมูล
ซึ่งทั้ง 3 ทีมจะดำเนินการร่วมกันตั้งแต่การรับเคสผู้ป่วยจนสามารถหาเตียงให้กับผู้ป่วยโควิด-19 ได้เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลหรือ Hospitel ได้
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในส่วนของ Frontline Call Center จะเป็นความร่วมมือกับภาคเอกชนในนาม บริษัท เทล ทู เทล จำกัด ในการขยายคู่สายเพิ่มเติม และได้ประชาชนจิตอาสามาให้ความช่วยเหลือในการรับสายโทรศัพท์ และจำแนกสายที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโควิด-19 ยืนยันต้องการเตียงในเขตกรุงเทพมหานคร
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาศักยภาพทีมรับสายและประเมินอาการ ทีมบริหารจัดการเตียงและข้อมูล ซึ่งเป็นกลุ่มบุคลากรกรมการแพทย์ พัฒนาการส่งต่อและการจัดการข้อมูลให้เป็นระบบ One Stop Service มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์