สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดชี้ผลวิจัยล่าสุด ไทยติดเรดาร์น่าลงทุน แนะผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน หวั่นพลาดเป้า SDGs ปี 2573
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเปิดเผยรายงานฉบับล่าสุด ชี้ประเทศไทยและประเทศเกิดใหม่ในภูมิภาคอาเซียนยังขาดการลงทุนที่เพียงพอจะทำให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals: SDGs)
รายงาน The $50 Trillion Question ทำการศึกษาลักษณะการลงทุนของกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการรวมกันกว่า 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางช่วงเวลาที่สำคัญเช่นปัจจุบันที่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของโลก
จากรายงานพบว่าเกือบ 64% ของสินทรัพย์ภายใต้การจัดการลงทุนอยู่ในตลาดพัฒนาแล้วในภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือ ส่วนภูมิภาคเอเชียซึ่งมีตลาดพัฒนาแล้วรวมอยู่ด้วยหลายแห่งมีสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 22% ในขณะที่มีเพียง 2% ลงทุนอยู่ในตะวันออกกลาง 3%ในแอฟริกา และ 5% ในอเมริกาใต้ ตามลำดับ
ตัวเลขการลงทุนในระดับต่ำนี้ขัดแย้งกับผู้จัดการกองทุนที่ตอบแบบสำรวจ 88% ซึ่งบอกว่าการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนเท่ากับหรือดีกว่าผลตอบแทนจากตลาดพัฒนาแล้วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ความเสี่ยงในประเทศเกิดใหม่เป็นปัจจัยสำคัญที่ถ่วงน้ำหนักการลงทุน โดยมากกว่า 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าประเทศเกิดใหม่เป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูง ในขณะที่ 42% เห็นว่าความเสี่ยงอยู่ในระดับเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว
กองทุนจ่อเพิ่มสัดส่วนลงทุนตลาดเกิดใหม่ใน 3 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจที่ได้ลงทุนในตลาดเกิดใหม่อาเซียนอยู่แล้วมีมุมมองที่เป็นบวกต่อภูมิภาคนี้ โดย 39% คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในช่วง 3 ปีข้างหน้า เป็นไปในทิศทางเดียวกับ 68% ของบริษัทขนาดใหญ่ 10 อันดับแรกที่คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในภูมิภาคนี้
ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดย 45% ของผู้จัดการกองทุนที่มีการเติบโตสูงวางประเทศไทยในกลยุทธ์การลงทุนในตลาดเกิดใหม่
นอกจากนี้ สถานการณ์โควิด-19 อาจส่งผลให้การลงทุนมายังประเทศเกิดใหม่ยากขึ้น โดย 70% ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าโรคระบาดในครั้งนี้ได้ขยายช่องว่างเงินทุนให้ถ่างออกไปอีก
ยังขาดเงินลงทุนที่เชื่อมโยงกับเป้าหมาย SDGs
รายงานฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองด้านความยั่งยืนซึ่งกำลังเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น โดย 81% ของกองทุนเหล่านี้ได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังไม่ได้รับการส่งผ่านไปยังการลงทุนที่ตอบโจทย์เป้าหมาย SDGs โดยมีเพียง 13% ของสินทรัพย์ที่บริหารจัดการโดยผู้ตอบแบบสำรวจเท่านั้นที่เป็นการลงทุนที่เชื่อมโยงกับเป้าหมาย SDGs
55% ให้ความเห็นว่าเป้าหมาย SDGs ไม่สอดคล้องกับการลงทุนหลักของกองทุน ในขณะที่ 47% บอกว่าการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ SDGs วัดผลได้ยาก อย่างไรก็ตาม 1 หนึ่งใน 5 ของผู้ตอบแบบสำรวจยอมรับว่าพวกเขายังไม่ได้ตระหนักดีถึงเป้าหมาย SDGs
ผู้ตอบแบบสำรวจให้ความเห็นว่าปัจจัย 5 ประการที่จะทำให้การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย SDGs มีมากขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ, สิทธิประโยชน์ทางภาษี, หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนที่สูงกว่า, ข้อมูลที่ชัดเจนกว่าในปัจจุบันในด้านการวัดผลกระทบ และความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนรายย่อย
แนะไทยยกระดับการเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อดึงสปอตไลต์
ไซมอน คูเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงาน Corporate, Commercial and Institutional Banking ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีพัฒนาการในการสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องเป้าหมาย SDGs อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นที่ต้องเร่งตัวขึ้น การจะบรรลุเป้าหมาย SDGs ตามที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2573 จำเป็นต้องมีการลงทุนจากภาคเอกชนมูลค่ามหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ผนวกกับการลงทุนของภาครัฐและพันธกิจร่วมกันที่จะปิดช่องว่างนี้ และก้าวไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน
พลากร หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่าสิ่งที่แน่ชัดคือนักลงทุนจำเป็นต้องมองไปให้ไกลกว่าตลาดพัฒนาแล้ว ภูมิภาคเกิดใหม่อย่างอาเซียนและประเทศเกิดใหม่อื่นๆ โดยรวมแล้วมีโอกาสเฉพาะตัวที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน นั่นคือผลตอบแทนดีและโอกาสในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่มีนัยสำคัญ ตอนนี้ถึงเวลาที่จะคว้าโอกาสนั้นแล้ว
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์