วันนี้ (29 ตุลาคม) ที่ ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ครั้งที่ 1/2568 โดยมี พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุม ในส่วนของกรุงเทพมหานคร วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย สิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) ได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
ประธานการประชุมเปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นผลจากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ซึ่งได้สั่งการให้กำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง (สายฉลองรัชธรรม) ตลอดสาย 20 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2568 และให้กระทรวงคมนาคมหารือกับกระทรวงการคลังถึงอัตราค่าโดยสารภายหลังครบกำหนดนี้
ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน (Daily Pass)
- เห็นชอบให้จัดทำบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง
- กรอบระยะเวลา: กำหนดให้ใช้มาตรการภายใน 1 ปี (วันที่ 1 ธันวาคม 2568 – 30 พฤศจิกายน 2569) หรือตามมติคณะรัฐมนตรี
- ผู้รับผิดชอบ: มอบหมายให้ รฟท. (การรถไฟแห่งประเทศไทย) และ รฟม. (การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
2. เดินหน้าแนวทางบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single Ownership)
- เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single Ownership)
- ผู้ดำเนินการ: มอบให้ รฟม. เป็นหน่วยงานของรัฐรายเดียวในการทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการแบบองค์รวม
- ขอบเขต: ครอบคลุมการโอนสิทธิ์รายได้และภาระหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สายสีเขียวส่วนหลัก สายสีเขียวส่วนต่อขยาย สายสีทอง และสายสีแดง ตามขั้นตอนของกฎหมาย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้ รฟม. เร่งดำเนินการ ศึกษาและจัดทำกรอบอัตราค่าโดยสาร เพื่อดำเนินการตามนโยบายฯ โดยต้องเปรียบเทียบปริมาณผู้โดยสารและรายได้ที่เพิ่มขึ้น กับภาระค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องชดเชย หรือรายได้ที่สูญเสียไป เพื่อให้เกิดความคุ้มค่า
นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ รฟม. เร่งแก้ไขสัญญาสัมปทานและสัญญาที่เกี่ยวข้องกับเอกชนผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าทุกสาย โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการ ใช้รายได้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าในอนาคต เป็นแหล่งเงินทุนในการชดเชยเอกชน เพื่อให้การเดินรถมีความยั่งยืน โดยไม่สร้างภาระต่อการคลังและไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ
ทั้งนี้ ข้อเสนอทั้งหมดจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายที่เกี่ยวข้องและรายงานผลภายใน 90 วัน เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป


