“มีเกมแดงเดือดไหนที่จดจำได้เป็นพิเศษไหม?”
ผมลองตั้งคำถามถึงตัวเองเบาๆ ในใจ เพื่อเป็นการอุ่นหัวใจให้พร้อมก่อนที่จะถึงการโคจรกลับมาพบกันอีกครั้งของ 2 ทีมคู่ปรับตลอดกาล
ในระยะเวลามากกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่การพบกันระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะ ‘แดงเดือด’ สมชื่อ บางครั้งเกมก็จบลงด้วยความจืดชืดเหมือนแกงจืดที่วางทิ้งไว้ข้ามคืน
แต่ก็มีเช่นกันที่เป็นเกมระห่ำเดือด ไม่ว่าจะเป็นในเชิงของสกอร์การแข่งขัน (ลิเวอร์พูลตามหลัง 0-3 กลับมาไล่เสมอได้ 3-3 ในปี 1994) หรือความดราม่าบนเหตุผลบางประการ (ใบแดงของสตีเวน เจอร์ราร์ด ในแดงเดือดนัดสุดท้ายของเขา)
ระหว่างที่ใช้ปลายนิ้วกรีดกรายไปบนแฟ้มความทรงจำ เกมหนึ่งก็ผุดขึ้นมา
ร็อบบี ฟาวเลอร์ ไอ้หนุ่มหัวทอง
คอปกตั้งของเอริค ‘เดอะ คิง’ คันโตนา
เกมแดงเดือดในวันเวลาที่ยังเป็นเกมที่เดือดสมชื่อ
มาครับ ย้อนเวลาไปเมื่อ 30 ปีที่แล้วกัน
เอ่ยถึงเกมแดงเดือดนั้น ความจริงไม่ได้มีการตั้งชื่อเรียกโดยเฉพาะเหมือนเกมดาร์บีแห่งลอนดอนเหนือ (North London Derby) ระหว่างสเปอร์สกับอาร์เซนอล หรือเกมสงครามกุหลาบ (Rose War) ระหว่างลีดส์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
คำว่าแดงเดือดนั้นมีที่มาจากการตั้งของศิริ อัครลาภ นามปากกาของกิตติกร อุดมผล (หรือในปัจจุบันที่แฟนฟุตบอลจะรู้จักในชื่อ Captain No.12) คอลัมนิสต์ฝีหมึกคมในยุคสมัยนั้น เพื่อใช้เป็นชื่อกิจกรรมรวมตัวกันชมฟุตบอลด้วยกันในงานอีเวนต์ใหญ่ครั้งแรกของประเทศไทย ที่เป็นปรากฏการณ์ในเวลานั้นเพราะไม่เคยมีมาก่อน
อย่างไรก็ดี การไม่มีชื่อเรียกเฉพาะไม่ได้หมายความว่าการพบกันของ ลิเวอร์พูลและแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สำคัญ
ในทางตรงกันข้าม นี่คือเกมที่ถือว่า ‘ที่สุด’ ของวงการฟุตบอลอังกฤษ และเป็นเช่นนี้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี
โดยที่ชนวนเริ่มต้นของความขัดแย้งนั้น แม้จะมีบทวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ว่าความขัดแย้งระหว่างทั้งสองทีม หรือความจริงแล้วอาจจะต้องบอกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่าง 2 เมือง เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยวิกตอเรีย ต่อเนื่องมาจนถึงการขุดคลองแมนเชสเตอร์ ที่ทำให้ระหว่างชาวสเกาเซอร์ (เมืองลิเวอร์พูล) และชาวแมนคูเนียน (แมนเชสเตอร์) มีปมทางความรู้สึก
แต่สำหรับเกมฟุตบอลนั้นเป็นไปในทางตรงข้าม เพราะทั้งสองทีมมีความใกล้ชิดกันอย่างมาก ประสาสองสโมสรที่อยู่ไม่ห่างกัน (ระยะห่างระหว่างสองเมืองเพียง 30 กว่าไมล์ เดินทางแค่ราว 1 ชั่วโมง) ความเกื้อกูลมีให้กันตามประสา
ครั้งที่แมนฯ ยูไนเต็ด พบเจอโศกนาฏกรรมที่สนามบินเมืองมิวนิก เป็นเหตุให้มีนักฟุตบอลชุดใหญ่จากไปถึง 8 ชีวิต ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในทีมแรกๆ ที่ยื่นมือช่วยด้วยการให้ยืมผู้เล่นใช้งาน
อีกครั้งหนึ่งลิเวอร์พูลเคยให้ทีมปีศาจแดงยืมใช้สนามแอนฟิลด์เป็นรังเหย้าในเกมเอฟเอ คัพด้วย เพราะถูกแบนไม่ให้แข่งขันในเมืองแมนเชสเตอร์ จากปัญหาฮูลิแกน)
กระนั้นบรรยากาศของการแข่งขันนั้นว่ากันว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่ยุค 1960 เป็นต้นมา ในช่วงเวลาที่ทั้งสองสโมสรแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงความเป็นเบอร์หนึ่งของวงการฟุตบอลอังกฤษ
แมตต์ บัสบี (ผู้เคยเป็นอดีตนักเตะของลิเวอร์พูล) นำปีศาจแดงครองวงการและผงาดในยุโรปได้ก่อน
บิลล์ แชงคลีย์ วางรากฐานให้แก่ทีมสีแดงแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ ก่อนจะผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่พอกัน
ก่อนที่ทั้งสองสโมสรจะแข่งขันกันอยู่เนืองๆ ผลัดกันดีผลัดกันเด่น ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย โดยที่บ่อยครั้งการพบกันเองของลิเวอร์พูลและแมนฯ ยูไนเต็ด มักจะเป็นเกมที่ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุและผลใดๆ ฟอร์มหรือผลการแข่งขันก่อนหน้าไม่ใช่เรื่องใหญ่เกินกว่าใจ
ใครใจใหญ่กว่า วันนั้นก็ชนะไป
และนั่นทำให้การพบกันจะเต็มไปด้วยความรู้สึกร้อนแรง ไม่มีใครอยากจะยอมแพ้ใครทั้งนั้น
แต่ความเป็นอริ (Rivalry) ระหว่างสองสโมสรมาเริ่มต้นอย่างจริงจังในยุคสมัยที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้ามารับงานฟื้นฟูแมนฯ ยูไนเต็ดในปี 1986
“จะเขี่ยพวกมันให้ร่วงลงมา” คือประกาศวาจาของคนห้าวชาวสกอตแลนด์ที่ตั้งมั่นว่าจะพาแมนฯ ยูไนเต็ด กลับมายิ่งใหญ่และแซงหน้าลิเวอร์พูลให้ได้ แม้ว่าในเวลานั้นจะตามหลังในเรื่องจำนวนแชมป์ลีกสูงสุดไกลห่างถึง 18-7 สมัย
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่แฟนลิเวอร์พูลยึดเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งทางใจในวันที่สโมสรของพวกเขาเริ่มถึงช่วงยุคตกต่ำ ในขณะที่คู่แข่งกำลังแรงขึ้นมา
เสียงร้องเย้ยหยัน “มันก็ยังเป็น 18-7 เว้ย” (หมายถึงจำนวนแชมป์ลีก) จากค็อปเอนด์ในวันที่ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ได้ในช่วงปลายของฤดูกาล 1991/92 ดับความหวังของกองพลอสูรแดงที่อยากกลับมาคว้าแชมป์ลีกอีกครั้งในรอบ 25 ปี เป็นเสียงที่เจ็บแสบ
แต่มันเป็นเหมือนโชคชะตาที่ไม่อาจเลี่ยงได้ เมื่อเฟอร์กี พาแมนฯ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ลีกได้จริงในฤดูกาลต่อมา และพวกเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นทีมเบอร์หนึ่งของอังกฤษอย่างเต็มตัว โดยที่ลิเวอร์พูลทำได้เพียงแค่มองด้วยความอิจฉา
ในเวลาเดียวกันก็มองหาว่าใครที่จะพาทีมกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
นั่นนำมาซึ่งจุดตัดของกาลเวลาที่สำคัญในฤดูกาล 1995/96 โดยลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ รอย เอแวนส์ เริ่มส่งสัญญาณที่ดีให้เห็นอีกครั้ง
เอแวนส์ เป็นสมาชิกของห้องรองเท้า (Boot room) คนสุดท้ายที่ได้คุมทีมแทนที่ของแกรม ซูเนสส์ อดีตมิดฟิลด์จอมห้าวผู้ยิ่งใหญ่แต่ล้มเหลวในการสร้างทีมลิเวอร์พูลยุคใหม่ ซึ่งแม้จะเป็นคนที่มีบุคลิกใจดี (จนเกินไป) แต่ก็มีแนวทางในการทำทีมที่ยอดเยี่ยม
ฟุตบอลในสไตล์ Pass & Move ถูกนำมาขัดเกลาใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย และแท็กติกฟุตบอลแบบสมัยใหม่ 3-5-2 ใช้วิงแบ็กสองฝั่งในการจู่โจม รวมถึงการให้อิสระแก่ สตีฟ แม็กมานามาน ปีกลอยลมในบท ‘ตัวฟรี’ ที่จะสร้างสรรค์เกมให้กองหน้าของทีม
โดยแม้จะออกสตาร์ตฤดูกาลแบบกระท่อนกระแท่น พ่ายไป 2 จาก 5 นัดแรก (ต่อลีดส์และวิมเบิลดัน) แต่ลิเวอร์พูลเริ่มฉายแววความโหดให้เห็นด้วยการถล่มแชมป์เก่าแบล็กเบิร์น โรเวอร์สขาดลอย 3-0 ต่อด้วยไล่ยิงโบลตัน วันเดอเรอร์สอีก 5-2
เป็นการเติมเชื้อเพลิงของความมั่นใจก่อนไปเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ดในวันที่ 1 ตุลาคม 1995
การพบกันในวันนั้นถูกจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นเกมแรกที่เอริค คันโตนา กองหน้าจอมศิลปินชาวฝรั่งเศส จะได้หวนกลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังจากที่ถูกตัดสินลงโทษแบนจากเกมฟุตบอลเป็นเวลา 9 เดือนเต็มจากความผิดในคดี ‘กังฟูคิก’ กระโดดถีบ แมตทิว ซิมมอนส์ แฟนฟุตบอลปากเสียของคริสตัล พาเลซ ในช่วงต้นปี
การขาดหายไปของคันโตนา ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลต่อการพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก (หรือพรีเมียร์ชิปในเวลานั้น) ฤดูกาล 1994/95 ที่ไม่มีใครรู้ว่าหากคันโตนายังอยู่กับทีม พวกเขาอาจจะแซงหน้าแบล็คเบิร์นคว้าแชมป์ 3 สมัยติดก็เป็นไปได้
และแน่นอนว่ามันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปในทีมของเฟอร์กี้ เมื่อไม่มีจอมห้าวคอปกตั้งอยู่ในสนาม
คำถามที่น่าสนใจคือคนที่หายไปนานขนาดนั้น กลับมาจะเล่นได้เหมือนเดิมไหม?
สำหรับจอมคนอย่างอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่มีคำว่าลังเล เมื่อนักเตะที่ดีที่สุดกลับมาเขาก็พร้อมส่งลงสนามทันทีในฐานะตัวจริง
มันคือการบอกถึงความเชื่อมั่นในระดับสูงสุดที่มีต่อซูเปอร์ฮีโร่คนแรกในทีมของเขา
และแค่ 2 นาที คันโตนาก็ตอบแทนความไว้วางใจของเฟอร์กีได้ทันที ด้วยการเปิดบอลให้นิคกี บัตต์ ทำประตูขึ้นนำให้แมนฯ ยูไนเต็ดก่อน
เสียงเชียร์ ‘Ooh aah’ ดังกระหึ่มเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ศิลปินลูกหนังผู้คาดเดาอารมณ์ไม่ได้
แต่ลิเวอร์พูลเองอย่างที่บอกก็มาด้วยความมั่นใจเหมือนกัน พวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นเกมรุกได้อย่างเร้าใจที่สุด โดยเฉพาะกองหน้าที่กำลังเดือดจัดอย่าง ร็อบบี ฟาวเลอร์ ที่ก้าวผ่านคำว่าไอ้หนูมหัศจรรย์สู่การเป็นสตาร์เบอร์หนึ่งของทีมแบบเต็มตัว
ฟาวเลอร์ในเวลานั้นกำลังห้าวจัด เล่นอย่างมั่นใจ และมีคุณสมบัติของ ‘นักล่า’ ที่มหัศจรรย์ติดตัว
โดยเฉพาะ ‘อีซ้าย’ ของเขาที่ทำได้ทุกอย่างเหมือนฟ้าสั่งมา
กองหน้าตัวความหวังของลิเวอร์พูล ช็อกแฟนทั้งโรงละครแห่งความฝันด้วยการทำประตูตีเสมอให้กับทีมได้ในแบบที่ไม่มีใครอยากเชื่อ เมื่อเขาได้บอลทางริมกรอบเขตโทษก่อนที่จะตะบันด้วยอีซ้ายเต็มเหนี่ยว
ลูกนั้นพุ่งแหวกอากาศผ่านมือของปีเตอร์ ชไมเคิล ยักษ์เดนส์ ที่เป็นหนึ่งในสุดยอดผู้รักษาประตูของโลกเสยตาข่ายเข้าไปแบบน่าอัศจรรย์
ไม่ใช่ใครจะยิงใส่ชไมเคิลได้แบบนี้ แต่ฟาวเลอร์ทำได้!
ไม่เพียงเท่านั้น หลังพาทีมกลับมาตีเสมอได้ 1-1 และรักษาสกอร์กันไปจนจบครึ่งแรก ไอ้เด็กแสบที่ย้อมหัวสีทองยังสำแดงเดชอีกครั้งในช่วงต้นครึ่งหลัง ด้วยการฉวยโอกาสเบียดเอาชนะแย่งบอลจากแกรี เนวิลล์ได้ก่อนที่จะบรรจงชิพบอลด้วยเท้าขวาข้างไม่ถนัด ข้ามหัวชไมเคิล เข้าประตูไปอย่างเหนือชั้น
มันเป็นช่วงเวลาที่แฟนลิเวอร์พูลทั่วโลกรู้สึกเป็นครั้งแรกหลังระยะเวลาอันยาวนาน
‘เรากำลังจะกลับมาแล้ว’
ใช่ไหม…
2 ประตูของฟาวเลอร์มีผลทางความรู้สึกอย่างมาก เพราะสำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาก็แอบสั่นคลอนเหมือนกัน
ก่อนลงสนามวันนั้นแมนฯ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ทแบบสุดช็อกด้วยการแพ้แอสตัน วิลลา 3-1 ก่อนจะกลับมาเก็บชัยชนะรวดได้ 5 นัด แต่ก็มาถูกเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ยันเสมอแบบไม่มีสกอร์ได้ที่ฮิลส์โบโรห์ในสัปดาห์ก่อนหน้า
มันมีคำถามและความคลางแคลงใจอยู่มากว่าพวกเขายังคงแกร่งและพอดีไหม ซึ่งประตูสวยๆของฟาวเลอร์ 2 ลูกเป็นเหมือนเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ให้กับทีมของเฟอร์กี้ที่แอบน่วมด้วยลีลาเกมบุกที่เร้าใจของลิเวอร์พูล
แต่บางครั้งทุกอย่างก็เหมือนมีใครสักคนบนฟ้าที่ขีดเขียนเรื่องราวเอาไว้
ราวนาทีที่ 70 ไรอัน กิ๊กส์ปีกพ่อมดถูกทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ เดวิด เอลเลอเรย์ ผู้ตัดสินคนดังที่สุดของเมืองผู้ดีในเวลานั้นไม่ลังเลชี้ไปที่จุดโทษทันที โดยไม่มี VAR มาตรวจทานให้เสียอารมณ์
ผู้ที่รับหน้าที่เพชฌฆาตของแมนฯ ยูไนเต็ด จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคันโตนา เพียงแต่มันก็มีคำถามว่า ใจของเขายังแกร่งพอที่จะทำหน้าที่สำคัญนี้ไหม ในเกมที่มีความหมายและอยู่ใต้สถานการณ์กดดันขนาดนี้
แทนคำตอบด้วยคำพูด คันโตนาเอาบอลไปวางที่จุดโทษ
ก่อนจะบรรจงยิงเล่นทางเข้าไปโดยที่เดวิด เจมส์ นายทวารหงส์แดงหมดสิทธิ์รับ
แม้จะเป็นนักฟุตบอลจอมศิลปินที่เก็บมาดนิ่งได้ดี แต่อารามดีใจทำให้คันโตนาระเบิดอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างที่เก็บไว้ตลอดระยะเวลาหลายเดือนออกมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หนักหนาและยากลำบากที่สุดในชีวิตของเขาเพราะโดนถล่มแทบจมดินจากการบันดาลโทสะใส่แฟนฟุตบอล
สิ่งที่ได้เห็นหลังจากนั้นคือการวิ่งไปกระโดดเกาะเสาหลังประตูหมุนคว้างกลางอากาศ พร้อมรอยยิ้มเหมือนเด็กคนหนึ่ง
เด็กที่รู้สึกโล่งใจที่ความผิดในวันวานไม่ได้ทำลายทุกอย่างในชีวิต
และสำหรับคนที่รู้ผิด มันยังมีวันพรุ่งนี้เสมอ
ประตูของคันโตนาคือประตูสุดท้ายของเกมแดงเดือดในเดือนตุลาคม 1995
ประตูนี้ดับเทียนความหวังของลิเวอร์พูลที่แม้ในเวลาต่อมาจะพยายามไล่บี้เพื่อลุ้นแชมป์แต่พวกเขาก็ยังดีไม่พอ
ขณะที่คันโตนาและแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เพียงแค่สร้างปรากฏการณ์แซงหน้านิวคาสเซิล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้
‘เดอะ คิง’ ยังเป็นผู้ยิงประตูชัยใส่ลิเวอร์พูลในเกมแดงเดือดพิเศษนัดชิงเอฟเอ คัพที่เวมบลีย์ได้ด้วย
และนี่คือบันทึกเล็กๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ยาวนาน ในวันเวลาที่เกมแดงเดือดยังเดือดเหมือนแกงส้มที่เปิดเตาทิ้งไว้
เล่าไปก็คิดถึงไป 🙂