ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.75% และส่งสัญญาณว่าจะใช้นโยบายเข้มงวดเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะฝังลึก แม้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยในปีหน้า
วันนี้ (23 พฤศจิกายน) คณะกรรมการนโยบายการเงินของ RBNZ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Official Cash Rate (OCR) สู่ระดับ 4.25% จาก 3.5% ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- รายงานชี้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยไม่ช่วยสกัดเงินเฟ้อ ตราบใดที่การใช้จ่ายภาครัฐยังอยู่ในระดับสูง
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ ‘หดตัว’ สองไตรมาสต่อเนื่อง เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค ขณะที่ NBER ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ
โดยการคาดการณ์ยังแสดงให้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ย OCR อาจถึงจุดสูงสุด (Peak) ที่ 5.5% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 เพิ่มขึ้นจากจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ 4.1%
Michael Gordon รักษาการหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์นิวซีแลนด์ของ Westpac Banking กล่าวว่า RBNZ มองว่าอัตราเงินเฟ้อนั้นฝังลึก และตอนนี้เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยต้องเกิดขึ้นเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาอยู่ในช่วงเป้าหมายที่ 1-3%
หลังผลการประชุมนโยบายการเงิน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีที่อ่อนไหวต่อนโยบายพุ่งขึ้น 0.19% เป็น 4.58% และ 10 ปีสูงขึ้น 0.05% เป็น 4.21%
RBNZ กำลังรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งเกินคาด และอัตราว่างงานที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ นับเป็นการเพิ่มพื้นที่ให้ RBNZ หากต้องการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น
RBNZ กล่าวในแถลงการณ์ว่า คณะกรรมการฯ เห็นพ้องกันว่า OCR จำเป็นต้องไปถึงระดับที่สูงขึ้นและเร็วขึ้นกว่าที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่ช่วงเป้าหมายในระยะกลาง
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ RBNZ เปิดตัว OCR ในปี 1999 นอกจากนี้ ในบันทึกการประชุมแสดงให้เห็นด้วยว่าคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 1.00%
โดย RBNZ ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะหดตัวติดต่อกัน 4 ไตรมาส เริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า แต่คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อประจำปีจะเร่งตัวขึ้นเป็น 7.5% ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จาก 7.2% ในปัจจุบัน ก่อนจะชะลอตัวลงเหลือ 5% ภายในสิ้นปี 2023 และจะไม่กลับไปสู่จุดกึ่งกลางของเป้าหมาย 1-3% จนถึงปลายปี 2025
คณะกรรมการฯ ยังเน้นย้ำว่า อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงยังคงอยู่เหนือแถบเป้าหมาย และมีโอกาสมากขึ้นที่การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้น
อ้างอิง: