สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจีนประกาศเพิ่มข้อจำกัดการส่งออก ‘แร่หายาก’ เมื่อวันพฤหัสบดี 9 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก และจุดชนวนให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ตอบโต้ทางเศรษฐกิจทันที พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจจะยกเลิกการพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย (APEC) ที่จะมีขึ้นเร็ว ๆ นี้
แม้ประเด็นแร่หายากจะดูเป็นข้อขัดแย้งใหม่ แต่ในความเป็นจริง จีนได้วางรากฐานการผูกขาดตลาดนี้มานานหลายทศวรรษ เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของประเทศ โดยเฉพาะในห่วงโซ่การผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง การจำกัดการส่งออกในครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ ต่อมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่ทรัมป์ประกาศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่า หลังจากสองประเทศเพิ่งบรรลุ ‘ข้อตกลงพักรบทางการค้า’ ในเมืองเจนีวา สหรัฐฯ คาดว่าจีนจะผ่อนคลายการควบคุมแร่หายาก แต่กลับกลายเป็นว่าจีนกลับเพิ่มความเข้มงวดแทน ซึ่งสะท้อนถึงความตึงเครียดที่ยังคงคุกรุ่นในความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลก
แร่หายากคืออะไร และทำไมจึงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก
ที่มาของแร่หายากคือกลุ่มของธาตุโลหะ 17 ชนิดในตารางธาตุ ประกอบด้วยสแคนเดียม (Scandium), อิทเทรียม (Yttrium) และกลุ่มแลนทาไนด์ (Lanthanides) แม้ชื่อจะบ่งบอกถึงความหายาก แต่ในความเป็นจริง แร่เหล่านี้พบได้ทั่วไปในเปลือกโลกและมีปริมาณมากกว่าทองคำหลายเท่า แต่อุปสรรคอยู่ที่กระบวนการขุดแยกซึ่งมีต้นทุนสูงและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
โดยการทำงานของแร่หายาก จะเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีแทบทุกชนิดในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่สมาร์ตโฟน หลอดไฟ LED กังหันลม ไปจนถึงทีวีจอแบน นอกจากนี้ ยังมีบทบาทในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องสแกน MRI และการรักษามะเร็ง
ส่วนในมิติด้านความมั่นคง แร่หายากถือเป็นหัวใจของกองทัพ โดยที่ผ่านมาสหรัฐฯ ใช้แร่เหล่านี้ผลิตเครื่องบินรบ F-35, เรือดำน้ำ, เลเซอร์, ดาวเทียม และขีปนาวุธ Tomahawk
จีนผูกขาดเกือบทั้งระบบการผลิต
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า แร่หายากทั่วโลก 61% ถูกขุดจากจีน และจีนยังครองสัดส่วนถึง 92% ของกำลังการผลิตในขั้นตอนการแปรรูป ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่เปลี่ยนแร่ดิบให้กลายเป็นวัตถุดิบพร้อมใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
สำหรับแร่หายากถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- แร่หายากน้ำหนักเบา (Light Rare Earths)
- แร่หายากน้ำหนักหนัก (Heavy Rare Earths)
เกรซลิน บัสการัน ผู้อำนวยการโครงการความมั่นคงด้านแร่แห่ง CSIS กล่าวว่า แม้สหรัฐฯ จะมีเหมืองแร่หายากในรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ก็ยังต้องส่งแร่ไปให้จีนช่วยแยกและแปรรูป เนื่องจากขาดเทคโนโลยีและกำลังการผลิตที่เพียงพอ
ที่ผ่านมา จีนแสดงให้เห็นว่า พร้อมจะใช้การพึ่งพาด้านแร่หายากของสหรัฐฯ เป็น ‘อาวุธทางเศรษฐกิจ’ ในการต่อรอง หลังจากทรัมป์ประกาศเก็บภาษีสินค้าจีนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยิ่งทำให้กระบวนการจัดหาวัตถุดิบแร่ของสหรัฐฯ ติดขัดมากขึ้น
สงครามแร่หายาก จุดสัญญาณยกระดับความขัดแย้งเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ การเพิ่มข้อจำกัดรอบล่าสุดของจีน เกิดขึ้นในช่วงเวลาอ่อนไหว ก่อนการพบกันระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และโดนัลด์ ทรัมป์ ในการประชุม APEC ที่เกาหลีใต้ปลายเดือนนี้
โดยจีนได้เพิ่มแร่หายากอีก 5 ชนิด ได้แก่ โฮลเมียม (Holmium), เออร์เบียม (Erbium), ทูเลียม (Thulium), ยูโรเปียม (Europium) และอิตเทอร์เบียม (Ytterbium) เข้าสู่บัญชีควบคุมการส่งออก ซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตก่อนส่งออก
การปรับเพิ่มดังกล่าวทำให้ขณะนี้มีแร่หายากที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกรวม 12 ชนิด อีกทั้งจีนยังประกาศควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตและแปรรูปแร่หายากออกจากประเทศด้วย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์แสดงความไม่พอใจต่อท่าทีของจีน ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมิถุนายน ทรัมป์เคยโพสต์ใน Truth Social กล่าวหาจีนว่าละเมิดข้อตกลงพักรบทางการค้า เนื่องจากยังคงจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิดอยู่
ตามรายงานของสำนักงานสำรวจธรณีสหรัฐฯ (USGS) ระหว่างปี 2020–2023 กว่า 70% ของแร่หายากและโลหะที่เกี่ยวข้องที่สหรัฐฯ นำเข้ามาจากจีน สะท้อนถึงการพึ่งพาที่ลึกซึ้งและเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน
ด้านนักวิเคราะห์มองว่าการเคลื่อนไหวของจีนครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับเชิงยุทธศาสตร์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พลังงานสะอาด และความมั่นคงระดับโลก
ภายหลังจากที่จีนประกาศมาตรการออกมาเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 ทางประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า สหรัฐฯ จะต้องตอบโต้ทางเศรษฐกิจ หากจีนไม่สามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลสำหรับมาตรการดังกล่าวได้ และสำหรับแร่ธาตุทุกชนิดที่จีนสามารถผูกขาดได้ สหรัฐฯ ก็มีทรัพยากรเหล่านั้นมากกว่าถึงสองเท่า
ท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของสหรัฐฯ ที่จะลดการพึ่งพาจีนในระยะยาว ท่ามกลางความตึงเครียดที่อาจบานปลายจากสงครามการค้าสู่สงครามทรัพยากร ซึ่งจะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและความมั่นคงโลกในทศวรรษต่อไป
ภาพ: William Potter/shutterstock
อ้างอิง: