Rampant คือภาพยนตร์ที่ถอดรหัสความสำเร็จมาจากปรากฏการณ์ Train to Busan ที่ประสบความสำเร็จมหาศาลในปี 2016 จากทั้งทีมผู้สร้าง และเนื้อเรื่องที่หยิบเอาวิกฤต ‘ซอมบี้’ ครองเมืองมาใช้เหมือนกัน
แต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยระหว่างรับชมภาพยนตร์เรื่อง Rampant คือ เรามักจะมีความคาดหวังเล็กๆ โผล่ขึ้นมารบกวนสมาธิเป็นระยะ เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ซอมบี้ยุคโชซอนให้กับเรานั้นยังห่างไกลจากซอมบี้บนรถด่วนสู่ปูซานอยู่หลายช่วงตัว
นั่นอาจเป็นเพราะว่า Rampant คิดไปไกลกว่า Train to Busan ที่เน้นเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ ด้วยการย้อนไปเล่าเรื่องราวในสมัยโชซอน ขณะเหตุการณ์บ้านเมืองยังไม่สงบ เกาหลีอยู่ภายใต้การปกครองของจีน มีการตั้งคำถามถึง ‘สิทธิ’ อันชอบธรรมในการขึ้นครองบัลลังก์, การปฏิบัติงานของเหล่าขุนนางรอบตัวองค์ราชา, ประชาชนชายขอบที่ถูกละเลย และสอดแทรกเรื่องแนวคิด ‘ชาตินิยม’ เป็นประเด็นเพิ่มเติมเข้ามา
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ ‘องค์ชายรัชทายาท’ คิดล้มอำนาจขุนนางในวัง แต่ปฏิบัติการไม่สำเร็จ จนต้องจบชีวิตตัวเองและส่งจดหมายหาน้องชายที่ถูกส่งไปอยู่เมืองจีนตั้งแต่เด็กๆ ให้กลับมาดูแลพระชายาที่กำลังตกอยู่ในอันตรายให้รอดปลอดภัย
นี่เป็นประเด็นแรกที่น่าสนใจ เพราะองค์ชายกังลิม (รับบทโดย ฮยอนบิน) กลับมาที่โชซอนเพียงเพราะคำขอร้องเรื่องส่วนตัวของพี่ชาย ไม่ได้มีเป้าหมายใหญ่นอกเหนือจากนั้น กระทั่งเขาพบกับเหตุการณ์ซอมบี้คลุ้มคลั่ง ก็ยังไม่คิดกำจัด ถึงแม้จะมีประชาชนขอร้อง เขาก็ไม่ได้สนใจ สิ่งที่คิดมีเพียงแค่อยากรีบปฏิบัติภารกิจให้จบแล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายตามเดิม
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตัวละครของเขาก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจอกับความฟอนเฟะของระบบขุนนางที่ทำทุกวิถีทาง โดยใช้การแพร่เชื้อซอมบี้เป็นอาวุธเพื่อขึ้นสู่อำนาจสูงสุด ทำให้องค์ชายกังลิมต้องรับมือกับทั้งซอมบี้ที่กำลังบุกยึดเมือง และต่อสู้เพื่อล้างแค้นเสนาบดีคิมจาจุน (รับบทโดย จางดงกอน) ที่เป็นเหมือน The Last Boss ไปพร้อมๆ กัน
เมื่อมีเรื่องให้โฟกัสมากเกินไปคือ ความรักพ่อรักพี่ก็สำคัญ แถมยังต้องจีบสาวตามประสาชายเจ้าสำราญไปด้วย, สถานการณ์ในวังก็ตึงเครียด, ยังมีกลุ่มชาวบ้านที่เดือดร้อนรอให้ช่วย, ไหนจะต้องขายฉากแอ็กชันสู้กับซอมบี้ให้คนดูสะใจ ในช่วงกลางเรื่องเราจะเห็นทั้ง 3 เส้นเรื่องนี้ตัดสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ Rampant ดูเหมือนอาหารที่มีรสชาติครบทุกอย่าง แต่ว่าไม่มีจุดไหนที่โดดเด่นพอให้เราจดจำได้เท่าที่ควร
ส่วนตัวละครอื่นๆ ที่ออกมาโชว์เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็แทบไม่มีตัวละครไหนโดดเด่นขึ้นมาได้จริงๆ นอกจาก 2 ตัวละครหลักอย่างองค์ชายกังลิมและเสนาบดีคิมจาจุน ซึ่งต้องชมว่าทั้งฮยอนบินและจางดงกอนทำได้ดีชนิดที่เรียกว่า ‘แบก’ หนังเอาไว้ทั้งเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม
ผิดกับ Train To Busan ที่ตั้งเป้าไว้กับเรื่อง ‘ความสัมพันธ์’ ล้วน แล้วให้ตัวละครต่างๆ ช่วยกันนำเสนอความสัมพันธ์หลากรูปแบบ ทั้งคนรัก ครอบครัว เพื่อน ออกมา แล้วใช้เวลาในการขยี้ลงไปจนคนดูจดจำทุกซีนอารมณ์ได้อย่างขึ้นใจ
แต่ถ้าตัดเรื่องนั้นไปแล้วมองไปที่องค์ประกอบอื่นๆ เช่น การแต่งหน้าเอฟเฟกต์, องค์ประกอบศิลป์ เสื้อผ้า สถานที่ถ่ายทำ, CG ที่เป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์เกาหลีในช่วงหลังก็ยังทำออกมาได้ตามมาตรฐาน รวมทั้งฉากแอ็กชันก็ทำให้คนดูลุ้นและตื่นเต้นไปได้ จนเราเรียก Rampant ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ ‘สนุก’ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
และจะเป็นภาพยนตร์ที่สนุกมากกว่านี้อีกหลายเท่า ถ้าเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาก่อน Train To Busan
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า