หากเราเปิดประเด็นสนทนาภาษาลูกหนังกันในหัวข้อยากๆ ขึ้นมาว่า “ใครคือนักฟุตบอลผู้เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์”
สามชื่อแรกที่ทุกคนจะคิดถึงย่อมหนีไม่พ้นเปเล ราชาลูกหนังตลอดกาลชาวบราซิล, ดีเอโก มาราโดนา เทพเจ้าลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ และคนสุดท้ายคือ ลิโอเนล เมสซี ราชาฟ้าขาวผู้ถ่อมตน
เหตุผลประกอบการพิจารณาของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป เปเลเป็นเจ้าของแชมป์ฟุตบอลโลกมากที่สุดถึง 3 สมัย ขณะที่มาราโดนามีพรสวรรค์ในการเล่นระดับฟ้าประทาน ส่วนเมสซีนั้นเก่งเหนือจินตนาการ อีกทั้งมีทั้งสถิติผลงานและถ้วยรางวัลรองรับครบถ้วนของเกมฟุตบอลในยุคโมเดิร์น
แต่นั่นเป็นเรื่องของ “ตำแหน่ง”
ถ้าเราคุยกันในเรื่องของ “ตำนาน” แล้วจะมีนักฟุตบอลอีกคนหนึ่งที่สำหรับใครหลายคนแล้ว เขานี่แหละคือสุดยอดนักเตะผู้เก่งกาจที่สุดตลอดกาล คนที่สามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นก็ได้ในสนาม และคนที่เป็นแรงบันดาลใจของนักฟุตบอลมากมายทั่วโลก
เรากำลังพูดถึง โรนัลโด ลุยส์ นาซาริโอ เด ลิมา
หรือที่หลายคนจดจำเขาแบบสั้นๆ ว่า R9
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ผมเพิ่งเจอโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่พาย้อนเวลากลับไปถึงนัดชิงชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกาได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันเป็นสมัยแรก
โฟกัสของเกมนัดชิงในวันนั้นถูกจับจ้องไปที่ โรแบร์โต บาจโจ ซูเปอร์สตาร์หมายเลขหนึ่งของทีมชาติอิตาลี ซึ่งเป็นนักเตะที่โด่งดังที่สุดของยุคสมัยนั้น
บาจโจเป็นผู้เล่นในแบบ ‘Fantasista’ นักฟุตบอลที่เหนือขั้นยิ่งกว่า ‘Trequartista’ (หรือ ‘หมายเลข 10’ ในฉบับภาษาอิตาลี) เพราะเป็นมากกว่าแค่คนทำหน้าที่ในการรังสรรค์เกม แต่คือคนที่พร้อมสร้างสิ่งมหัศจรรย์ตัดสินเกมในสนามได้
แต่วันนั้นบาจโจ นักเตะเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ในปี 1993 กลับเจอเกมรับอันเหนียวแน่นของทีมชาติบราซิล ทำให้เล่นไม่ออก และปิดฉากฟุตบอลโลกครั้งนั้นแบบช้ำๆ ด้วยการยิงรับหน้าที่สังหารจุดโทษคนสุดท้ายของทีมชาติอิตาลี แต่ยิงข้ามคานออกไปไกลแสนไกล
ภาพของ “เทพบุตรเปียทองคำ” ที่ยืนเท้าสะเอวก้มหน้าด้วยความผิดหวังเป็นหนึ่งในภาพระดับ Iconic ของโลกลูกหนัง
ในชั่วขณะเดียวกันที่ซุ้มม้านั่งสำรองของทีมชาติบราซิลที่ออกมาฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 4 ของพวกเขา มีหนุ่มน้อยหัวโล้นคนหนึ่งที่มีฟันกระต่ายยื่นออกมาอย่างโดดเด่น ออกมาเฮฮากับสตาร์ทีมชาติบราซิลทุกคนด้วย
เวลานั้นน้อยคนนักที่จะรู้จักโรนัลโด
เรารู้กันแค่ว่าเขาคือนักเตะดาวรุ่งวัย 17 ปีที่ถูก มาริโอ ซากัลโล โค้ชทีม ‘เซเลเซา’ ในเวลานั้นหนีบติดทีมมาด้วย โดยที่ไม่ค่อยมีใครเข้าใจหรอกว่าทำไมถึงทำแบบนั้น
ซากัลโลไม่จำเป็นต้องให้คำตอบอะไรกับใครอีกเลย เพราะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อของโรนัลโดคือชื่อที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดในเกมฟุตบอล
เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นอาจจะคล้ายกับ ลามีน ยามาล ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังทีมชาติสเปนในเวลานี้ที่เป็นคนที่ถูกพูดถึงและได้รับการยกย่องมากที่สุดถึงความมหัศจรรย์ในการเล่นที่เหมือนมีมนตร์สะกดที่ปลายเท้า
แต่ความต่างของยุคสมัยคือในเวลานั้นโลกยังแทบไม่รู้จักกับอินเทอร์เน็ต และเราก็ไม่มีโซเชียลมีเดียที่จะรีรันคลิปวิดีโอการเล่นของโรนัลโด
สิ่งที่เรารับรู้ได้ถึงความมหัศจรรย์ของโรนัลโดคือ “เรื่องเล่า” ที่ผ่านมาทางข่าว บทความ และบทวิเคราะห์ที่หาอ่านได้ตามหนังสือพิมพ์และนิตยสารลูกหนังในเวลานั้น
เรื่องเล่าในเวลานั้นบอกกันว่านี่แหละคือนักฟุตบอลที่เก่งกาจที่สุดในโลกคนใหม่ คนที่อาจจะมีโชคชะตาในแบบเดียวกับเปเล (ได้แชมป์โลกสมัยแรกตั้งแต่อายุ 17 ปีเหมือนกัน แตกต่างกันที่โรนัลโดไม่ได้ลงสนามเลย)
ไม่แปลกหากจะมีคนตั้งข้อสงสัยบ้างว่าสิ่งที่เป็นเรื่องเล่านี้เป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงแค่ข่าวลือ เพราะลีกที่โรนัลโดเล่นอยู่ก็เป็นเพียงดัตช์ลีก กับพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ลีกที่ถูกตัดสินจากโลกภายนอกว่าก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรสักหน่อย
จนกระทั่งเราได้เห็นด้วยสองตา
โรนัลโดย้ายจากพีเอสวีมาอยู่กับบาร์เซโลนาในช่วงฤดูร้อนของปี 1996 ด้วยค่าตัวถึง 19.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติโลกในเวลานั้น และแน่นอนว่านำมาสู่เครื่องหมายคำถามอีกเหมือนเดิม
ทำไมบาร์เซโลนากล้าทุ่มมากขนาดนี้สำหรับเด็กที่ยังอายุแค่ 20 ปีเท่านั้น
แต่คำตอบนั้นปรากฏชัดต่อสายตาของทุกคนในเวลาต่อมา
“ปีศาจ” คือสิ่งที่หลายคนคิดเมื่อได้เห็นฟอร์มการเล่นของโรนัลโดในสีเสื้อแดง-เลือดหมูของบาร์เซโลนาในเวลานั้น เพราะนอกจากจะมีสปีดความเร็วที่เหนือมนุษย์แล้ว ยังมีทักษะการครอบครองบอลก็ไร้ที่ติ การตัดสินใจเร็วในระดับมิลลิวินาที (ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่แยกระหว่างนักเตะธรรมดากับยอดนักเตะ) การจบสกอร์ที่คมกริบได้ทุกรูปแบบ
ในประเทศไทยยุคนั้นเราไม่มีฟุตบอลลาลีกาให้ชมกันสดๆ แบบยุคนี้ แต่ในช่วงข่าวกีฬาของช่วงต้นสัปดาห์จะมีการนำเสนอข่าวฟุตบอล ซึ่งทำให้ได้เห็นความมหัศจรรย์ของโรนัลโดกันแบบเต็มตา
หนึ่งในประตูที่สุดยอดที่สุดที่เป็นตัวแทนความมหัศจรรย์พันลึกของนักเตะคนนี้คือประตูในเกมที่บาร์เซโลนาพบกับกอมโปสเตลลา ที่โรนัลโดพลิกบอลได้กลางสนามก่อนจะทั้งเตะ ทั้งดึง ทั้งรั้งเสื้อไว้ แถมโดนรุมจากนักเตะคู่แข่งอีก 3-4 คน แต่ไม่มีอะไรหยุดเขาได้เลย
โรนัลโดกระชากพาบอลไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายหลอกยิงหักข้อเข้าเสาแรกไปแบบเหนือชั้นสำหรับคนทั่วไป แต่เป็นเหมือนเรื่องง่ายๆ ที่เขาทำได้ปกติอยู่แล้ว
ลูกนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดประตูตลอดกาลของลาลีกา
แต่ยังมีอีกลูกหนึ่งที่สะท้อนความเป็นปีศาจของโรนัลโดได้ ซึ่งเกิดห่างจากประตูในเกมกับกอมโปสเตลลาไม่นาน เกมนั้นเป็นการพบกันระหว่างบาร์เซโลนากับบาเลนเซีย คู่ปรับจากแดนใต้ เกมนั้นซูเปอร์สตาร์ชาวบราซิลสำแดงอภินิหารให้ชาวโลกได้เห็น
ประตูแรกที่เขาทำได้ในเกมนั้นว่าสุดยอดแล้วด้วยการกระชากแหวกผ่านแนวรับบาเลนเซียเข้าไปยิงประตูแบบง่ายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ประตูสุดท้ายที่เป็นการทำแฮตทริกในวันนั้นคือประตูในระดับตำนานตลอดกาล
จังหวะนั้นบาร์เซโลนาตัดบอลได้แถวกลางสนาม ลูกมาถึงเท้าของโรนัลโดที่อยู่ตรงนั้นพอดี ก่อนที่เขาจะติดเครื่องกระชากพาบอล และ “แหวก” ผ่าน 2 กองหลังของบาเลนเซียไปในแบบที่เหมือนเดินผ่านประตูมิติ ก่อนจะเลือกมุมยิงอย่างเลือดเย็น
ประตูนี้แม้แต่แฟนบอลบาเลนเซียเองก็ยังยอมสยบซูฮกให้
ถึงตรงนี้ไม่มีใครสงสัยหรือตั้งคำถามในตัวเขาอีกแล้ว
โรนัลโดไม่ได้เป็นแค่นักฟุตบอลธรรมดา แต่เป็น “ปรากฏการณ์” ทางเกมลูกหนังที่เกิดขึ้น และผู้คนที่เกิดทันในเวลานั้นโชคดีที่ได้เห็นความมหัศจรรย์นี้
น่าเสียดายสำหรับบาร์เซโลนาที่โรนัลโดอยู่กับพวกเขาได้เพียงแค่ฤดูกาลเดียว มัสซิโม โมรัตติ ประธานสโมสรอินเตอร์ มิลานในขณะนั้นตัดสินใจทุบสถิติโลกอีกครั้งด้วยค่าตัว 27 ล้านดอลลาร์ ในการจ่ายค่าฉีกสัญญาของสตาร์บราซิลเลียนกับบาร์ซาที่พยายามจะรั้งตัวไว้ในคัมป์นูแล้วด้วยการต่อสัญญาใหม่แต่ทำไม่สำเร็จ
ที่ จูเซ็ปเป เมียสซา โรนัลโด กลายเป็นซูเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่งของโลกอย่างสมบูรณ์ เขาคว้ารางวัลดาวซัลโวในเซเรียอาได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ย้ายมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะฟุตบอลอิตาลีในยุคนั้นคือลีกที่ดีที่สุดของโลก และมีสุดยอดกองหลังที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเก่งกาจที่สุดในโลกอยู่เต็มไปหมด
25 ประตูในฤดูกาลนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของอิตาลี และได้รางวัลบัลลงดอร์ (Ballon d’Or) สมัยแรก (จริงๆ แล้วได้รับในช่วงปลายปี 1997 เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างผลงานกับบาร์ซาและอินเตอร์)
โดยที่สไตล์การเล่นของเขาได้รับการขัดเกลาให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก จากนักเตะที่ใช้สัญชาตญาณในการเล่นล้วนๆ โรนัลโดเริ่มใช้ไหวพริบและการเล่นเพื่อทีมมากขึ้น เขาไม่ได้เป็นแค่ศูนย์หน้าที่รอหาโอกาสเข้าทำประตูอย่างเดียว และไม่ได้คิดจะใช้ลูกเล่นแพรวพราวปั่นหัวกองหลังให้เสียหน้าอีกแล้ว
และบันทึกการเล่นของเขาในเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพที่พบกับลาซิโอ เป็นหนึ่งในบันทึกการเล่นที่สมบูรณ์ที่สุดของนักเตะที่ชาวอิตาลีเรียกขานกันว่า “Il fenomeno” (อิลเฟโนมีโน)
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของโรนัลโดประสบกับช่วงขาลงอย่างรุนแรงหลังจากนั้น
อาการป่วยปริศนาในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1998 (ซึ่งยังคงเป็นเรื่องเล่าปริศนาในความทรงจำของแฟนฟุตบอลทั่วโลก) ที่ทำให้เขาไม่อยู่ในสภาพพร้อมสำหรับการลงแข่งขัน ก่อนที่บราซิลจะแพ้ฝรั่งเศสขาดลอยถึง 3-0 ในนัดชิงที่สตาด เดอ ฟรองซ์ เป็นจุดเริ่มต้นของความตกต่ำ
สไตล์การเล่นหวือหวาของเขานำไปสู่การแตกสลายของร่างกาย
โรนัลโดได้รับบาดเจ็บรุนแรงในระดับเอ็นหัวเข่าฉีกครั้งแรกในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 1999 จนต้องพักการเล่นเป็นเวลานานหลายเดือน
เมื่อกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในช่วงปลายฤดูกาล ด้วยการพบกับลาซิโอในเกมโคปปาอิตาเลีย รอบชิงชนะเลิศในเดือนเมษายน 2000 โรนัลโดซึ่งถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม ได้อยู่ในสนามเพียงแค่ 6 นาทีเท่านั้น ก่อนที่เขาจะล้มลงไปนอนกลางสนามด้วยสีหน้าเจ็บปวด
ผมจำได้ดีถึงความรู้สึกในวันนั้นเพราะดูการถ่ายทอดสดอยู่ และคิดว่าทุกคนที่ได้ดูน่าจะรู้สึกเหมือนกันคือ เราต่างเจ็บปวดและใจสลายไปด้วยกับโรนัลโด
เพราะนี่คือนักฟุตบอลที่เก่งกาจที่สุด แต่กลับเผชิญกับโชคชะตาที่โหดร้ายที่สุด
นักกายภาพประจำตัวของโรนัลโดอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “สะบ้าหัวเข่าของเขาเหมือนเกิดระเบิดขึ้นมา” และบอกว่า “นี่เป็นหนึ่งในอาการบาดเจ็บของนักกีฬาที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นเลยทีเดียว”
อาการบาดเจ็บครั้งนั้นทำให้โรนัลโดไม่สามารถกลับมาเป็นคนเก่าได้อีกแล้ว
ความเร็วปีศาจของเขาหายไป และสไตล์การครองบอลเปลี่ยนทิศไปมาไม่ใช่สิ่งที่เขาทำได้อีกต่อไป
เพียงแต่อย่างน้อยที่สุดโรนัลโดยังพาตัวเองกลับมาได้อีกครั้ง ด้วยเข่าข้างเดียวก็ยังดีเพียงพอที่จะปลดล็อกทางใจให้ตัวเองได้ด้วยการพาบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2002 โดยเป็นทั้งดาวซัลโวและนักเตะที่โดดเด่นที่สุดของรายการ (ใครจะลืมทรงผมไดโกโระ?)
หลังจากนั้นเขาย้ายมาอยู่ในสเปนกับเรอัล มาดริด และยังคงความสุดยอดอยู่ ไม่เพียงแต่จะเป็นกำลังสำคัญของพลพรรค “กาลาคติกอส” ร่วมกับซีเนดีน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก และ ราอูล กอนซาเลซ ยังพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกาได้สำเร็จ และคว้าบัลลงดอร์สมัยที่ 2 (เหตุผลหลักมาจากการพาบราซิลคว้าแชมป์โลก)
ก่อนที่ประกายแสงในตัวจะค่อยๆ ริบหรี่ลงเรื่อย ๆ เพราะสภาพร่างกายที่ไม่เพียงแค่บาดเจ็บหนัก แต่ยังมีไลฟ์สไตล์สุดแสบชนิดที่บางเรื่องลึกๆ ไม่เล่าจะดีกว่า เอาเป็นว่าเป็นนักฟุตบอลที่ใช้ชีวิตได้ “สุด” คนหนึ่ง
ในบั้นปลายชีวิตการเล่น โรนัลโด อำลาเรอัล มาดริด กลับมาอิตาลีอีกครั้งเพื่อเล่นให้กับเอซี มิลาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก แถมบาดเจ็บรุนแรงที่เข่าในระดับต้องพักตลอดฤดูกาลอีกเป็นครั้งที่ 3
ก่อนที่จะกลับไปบ้านเกิดกับโครินเธียนส์ ที่แม้สภาพร่างกายจะแทบไม่ไหวและไม่ได้ดูแลร่างกายด้วย แต่ “คลาส” ยังเหนือชั้นกว่าคนอื่นอยู่ดี เขามีส่วนในการช่วยนำทีมคว้าแชมป์โคปาดูบราซิลในปี 2009 และใช้ช่วงเวลาที่เหลืออย่างมีความสุข โดยมีคนดังทั่วโลกผลัดกันแวะเวียนมาเยี่ยมเพื่อถ่ายภาพคู่เป็นที่ระลึก (จนโดนแซวว่าเป็นซูเปอร์สตาร์คนหนึ่งที่พอเล่นฟุตบอลได้นิดหน่อย)
แน่ละ ถ้าเราว่ากันด้วยผลงานและเกียรติยศแล้ว R9 คนนี้อาจจะไม่ได้เป็นนักฟุตบอลที่สะสมสิ่งเหล่านี้เอาไว้มากที่สุด และแน่นอนว่ามันย่อมมีคำถามตามมาว่าถ้าเขาเกิดในยุคนี้ สไตล์การเล่นแบบ “ข้ามาคนเดียว” จะยังไหวหรือไม่ หรือถ้าเขามีทัศนคติแบบมืออาชีพมากกว่านี้ เขาจะไปได้ไกลถึงไหนกัน
แต่เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก เพราะในความมหัศจรรย์ของโรนัลโดแล้ว ไม่มีนักฟุตบอลคนไหนที่จะเป็นแบบเขาได้อีก กับนักเตะที่มีครบทุกอย่าง เก่งกาจจนเหมือนมาจากดาวคนละดวงกับคนอื่น
นักเตะแบบนี้ห้าสิบปีหรือร้อยปีอาจจะมีสักคน หรืออาจจะมีแค่คนเดียวก็ได้ในชั่วชีวิตหนึ่ง
โดยที่ลึกๆ ในใจของใครหลายคนแล้ว ถ้าเราถามว่าโรนัลโด “ต้นตำรับ” คนนี้สุดยอดแค่ไหน
คนที่รู้จักและรักฟุตบอลจะรู้คำตอบดีอยู่ในใจ
แค่นี้ก็พอแล้ว